จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บทบาทของชาวโปรตุเกสในบันทึกของเอดมันด์ โรเบิร์ต

โดย พิทยะ ศรีวัฒนสาร


เรียบเรียงจาก Edmund Roberts,  Embassy to the Eastern courts of Cochin-china, Siam and Muscat; in the US Sloop of War Peacock David Geisinger, Commander, during the Years 1832 -3-4 by Edmund Roberts, New York : Harpers Brothers,  1837 .

เรื่องราวของเอดมันด์ โรเบิร์ต(Edmund Roberts)  ทูตอเมริกันคนแรกสมัยรัตนโกสินทร์ ปรากฏกระจัดกระจายอยู่ในหลายแหล่ง เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตอเมริกา ณ กรุงเทพมหานครเลือกที่จะกล่าวถึงสัญญาสัมพันธไมตรีระหว่างสยามกับสหรัฐอเมริกาอย่างละเอียด แต่ก็มิได้พูดถึงบทบาทของนักการทูตผู้นี้มากเท่าใดนัก  อาจจะเนื่องด้วยเป็นข้อจำกัดในด้านวัตถุประสงค์ของการสร้างสรรค์เว็บไซต์ กล่าวคือ
1833 March 18 His Majesty King Nang Klao (Rama III) grants an audience to American envoy Edmund Roberts.
  • March 20 Siam and the U.S. sign the Treaty of Amity and Commerce in Bangkok.”
เว็บไซต์ของสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์กรมศิลปากร เรียกชื่อของ “เอดมัน โรเบิร์ต” ว่า “โรเบิร์ต เอดมันด์”[2] โดยคงยังรอการนำเสนอผลงานการค้นคว้าเกี่ยวกับทูตผู้นี้อยู่ในหน้าเว็บ
บันทึกของเอดมันด์ โรเบิร์ตนอกจากจะให้ความรู้เรื่องร่วมสมัยในช่วงเวลาที่เขาเดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามแล้ว ยังสะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับบทบาทของชุมชนโปรตุเกสเอาไว้พอสมควร ดังนี้
-นายท่าโปรตุเกสแห่งเมืองบางกอกออกไปรับทูตอเมริกัน
ในวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1833 เรือใหญ่(boat)จำนวน 3 ลำของสยามแล่นออกไปทอดสมอใกล้เรือเดินสมุทร(ship)ของเอดมันด์ โรเบิร์ต(Edmund Roberts)  ภายใต้การนำของเจ้าท่าเมืองบางกอก(captain of the port of Bangkok) ชื่อ ยอแซฟ ปิเอดาดึ (Josef Piedade)[3]  ชาวคริสเตียนโปรตุเกสเกิดในกรุงเทพฯ เขาระบุว่า งานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจะถูกจัดขึ้นที่เมืองปากน้ำ ตามธรรมเนียมโดยรับสั่งของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสยาม
เมื่อลงเรือที่มารับเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว เอดมันด์ โรเบิร์ตรายงานถึงจำนวน “ ปืนใหญ่ทองเหลือง(long brass cannon) ” ในเรือของสยามด้วย[4]
ที่เมืองปากน้ำนั้นมีเจ้าท่าบางกอกรออยู่  เจ้าเมืองปากน้ำออกมาคอยทูตอเมริกันที่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม โดยนั่งขัดสมาธิบนพื้นยกสูง ด้านบนขึงผ้า (canopy) มีดาบฝักกาไหล่เงินวางถัดลงจากยกพื้น  มีบริวารคอยโบกพัดขนาดใหญ่ไล่ยุงและคลายร้อน บริวารของเจ้าเมืองจำนวนหนึ่งหมอบคลานอยู่ข้างๆ  เจ้าเมืองสูบไป๊ป์ด้ามยาว ข้างๆ มีเชี่ยนหมาก พลู ยาเส้นวางจีบในซองพลูบนพานทอง  เจ้าเมืองมีผ้าคาดพุง ไว้ผมทรงมหาดไทยแบบสยาม
-แรกเลี้ยงอาหารสไตล์โปรตุเกสที่เมืองปากน้ำ
เอดมันด์ โรเบิร์ตรายงานว่า เจ้าเมืองต้อนรับตนอย่างมีอัธยาศัย สุภาพและมีมารยาท โดยยื่นมือมาจับ(อย่างจริงใจ เมื่อนั่งเก้าอี้เรียบร้อย อาหารที่นำมาเลี้ยงก็จัดอย่างดีที่สุดเท่าที่จะหาได้และถูกนำมาเสิร์ฟถึง 12 จานในสไตล์แบบโปรตุเกส พนักงานเสิร์ฟอาหารก็แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย  มีเครื่องดื่มประกอบด้วยน้ำมะพร้าว เหล้ายินขวดเหลี่ยมแบบดัทช์ ผ้าปูโต๊ะก็สะอาดสะอ้าน มีด ส้อม จานและช้อน ส่วนพื้นก็ปูด้วยพรมขนสัตว์ทออย่างดี เจ้าเมืองถามถึงสุขภาพ อายุและลูกๆของคนในคณะทูต และแสดงความยินดีต่อการเดินทางมาถึงโดยสวัสดิภาพของคณะทูต

-จางวางกรมทหารปืนใหญ่โปรตุเกสนำทูตอเมริกันเข้าพักเรีอนหลังงาม : บ้านหลวงรับราชทูต
เอดมันด์ โรเบิร์ตเรียกอยุธยาว่า “Jutaya” ระหว่างแล่นเรือเข้าเมืองบางกอกเป็นช่วงน้ำลด เมื่อเข้าใกล้ถึงเมืองก็แลเห็นเรือนแพค้าขายของชาวจีนลอยเรียงรายอยู่เต็มไปหมดทั้งสองฟากแม่น้ำ จากปากน้ำมาถึงบ้านรับรองราชทูตใช้เวลานานถึง 9 ชั่วโมง เมื่อขึ้นจากเรือเพื่อตั้งขบวนเข้าบ้านพัก ขบวนของคณะทูตนำโดย  “นายพลเอกแห่งกรมทหารปืนใหญ่ (the pia-visa หรือ general of artillery)  ” ชื่อเบเนเดต ดึ อาร์เกลเลเรีย(Benedetts[5] de Arguelleria)[6] และขุนนางผู้อื่นเข้าไปยังบ้านพักหลังงาม ผ่านประตูสีขาว ผนังสร้างแบบก่ออิฐปูนอย่างดี มีสนามหญ้า เมื่อผ่านไปยังประตูชั้นใน ก็พบว่ากำลังอยู่ในอาณาบริเวณที่กว้างขวาง มีตึกขนาบสองด้าน มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง
-พ่อครัวที่เรือนรับรองคณะทูตเป็นคนเชื้อสายโปรตุเกส
เมื่อขึ้นบันไดขนาดใหญ่ก็เป็นห้องรับแขก ตั้งโต๊ะรอ สักพักอาหารเย็น(supper)อาหารแบบยุโรปผสมอินเดีย มีทั้งแกงเผ็ดปลาและไก่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟอย่างเต็มที่ ตามด้วยขนมหวานและผลไม้ตามฤดู พระราชาธิบดีพระราชทานเตียง โครงเตียง มุ้ง คนทำอาหารและคนส่งอาหารมาให้ และยังได้ส่งพ่อครัวชาวสยามเชื้อสายโปรตุเกส ชื่อ โดมิงกู( Domingo) และคนทำงานบ้านมาประจำที่บ้านพักทูตอีกด้วยรวม 4 คน ทั้งหมดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของปิเอดาดึ เจ้าท่าบางกอก ซึ่งได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากพระคลัง[7]
            พระคลังจะส่งขนมหวานและผลไม้มาให้คณะทูตอเมริกันทุกวันหรือสองวันครั้งๆละหลายๆถาด ตึกแถวที่พักของคณะทูตเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้อง ยาวประมาณ 150 ฟุต ด้านหน้ามีลานกว้างขวาง อาคารแต่ละหลังมีห้องรวมด้านละแปดห้อง ขนาด 20 x 20 ฟุต  ปูพื้นไม้ ด้านล่างเป็นสำนักงาน  มุมตึกเป็นห้องอาหารใหญ่เปิดโล่งรับลม เชื่อมอาคารทั้งสองไว้ ด้านล่างโถงอาหารเป็นห้องน้ำ
เอดมันด์ โรเบิร์ตเล่าว่า ปกติแล้วแม่น้ำจะคึกคักไปด้วยเรือจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่ติดตลาดจะมีเรือทุกขนาดมาจอแจกันตั้งแต่ขนาดเรือเท่ากับเรือแคนูไปจนถึงเรือยาวนับร้อยฟุตมีฝีพายหลายสิบคน มีกัญญาตรงกลาง คนสัญจรทางน้ำส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงนำสินค้านานาชนิดมาบายโดยใส่ในถาดทองเหลืองซึ่งทำจากจีน อังกฤษและอินเดีย สินค้าที่นำมาขายได้แก่ ข้าว น้ำมัน ปลาสด ปลาแห้ง กุ้งแห้ง(balachangs) ไข่ สัตว์ปีก หมาก พลู  ปูน(chunam) หมู ผลไม้ ผัก ฯลฯ รวมถึงของกินของใช้ต่างๆ  มีพระสงฆ์จำนวนมากแจวเรือออกมาบิณฑบาต ผู้หญิงพายเรือเก่งพอๆกับผุ้ชาย คนไทยแม้จะไม่สะอาดนักแต่ก็เหนือกว่าชาวโคชินไชน่าหลายเท่า พวกเขาอาบน้ำบ่อยก็เลยไม่เอาแต่เกาตลอดเวลาเหมือนชาวเมืองวุงลัม(Vunglam)ในเวียดนาม แต่ฟันที่ดำสนิทราวกับถ่านของคนไทยดูน่ารังเกียจมากกว่าหลายเท่า และน้ำหมากสีแดงจากการเคี้ยวหมากและยาเส้นยังกระจายฟุ้งเลอะจากปากให้เห็นเสมอ[8]
เอดมันด์ โรเบิร์ตสังเกตเห็นการจับปลาในแม่น้ำ เรือนแพแต่ละหลังจะมีเรือเล็กไว้ใช้สัญจรและติดต่อธุรกิจ ด้านหน้าเป็นร้านค้าวางสินค้าทั้งบนชั้นและทางเดินบนพื้นแพ ตอนกลางคืนก็แปลงเป็นห้องนอน
แม่น้ำบริเวณที่พักของทูตกว้างประมาณ 1,500 ฟุตและลึก 50-60 ฟุต น้ำไหลแรงทั้งตอน้ำขึ้นและน้ำลง สะอาดและใช้อุปโภค-บริโภคในครัวเรือนได้ บ้านบนชายฝั่งยกพื้นสูงหลังคามุงกระเบื้องหรือใบจาก
-นรลักษณ์บางส่วนของพระคลัง
เขาบรรยายรูปร่างลักษณะของพระคลังไว้ว่า [9] เป็นชายร่างใหญ่เทอะทะ น้ำหนักเกือบสามร้อยปอนด์ อายุประมาณ 55 ปี นุ่งผ้าไหมคาดเอว นั่งบนแท่น เอนกายอิงหมอนขวานและหมอนอิงใหม่เอี่ยม บนแท่นมีเชี่ยนหมากทองคำที่ได้รับพระราชทานมา[10] ห้องรับแขกด้านหน้านั้นเปิดโล่ง ตกแต่งด้วยกระจกเงาเดินลายทองรูปไข่เรียบๆ จำนวนมากติดบนยอดเสาใกล้เพดาน  มีภาพฉากสงครามของอังกฤษและชนบทในอังกฤษติดบนผนัง ฉากแก้วลายรูปสัตว์ของจีนสูงสี่ฟุตติดตั้งอย่างหรูหรา มีโคมไฟทองเหลืองทั้งแบบแชนเดอเลียร์(Brass Chandelier)และโคมไฟแก้วแบบธรรมดาแขวนประดับห้องด้วย ด้านซ้ายมือของพระคลัง ซึ่งถือเป็นทิศแห่งเกียรติยศ จัดให้เป็นที่นั่งของเอดมันด์ โรเบิร์ตและกัปตันไกซิงเจอร์(Geisingers) ถัดไประดับเดียวกับที่พระคลังนั่งเป็นเก้าอี้ของคณะทูตที่มาด้วย
-การหมอบคลานของขุนนางแขก ไทย ฝรั่งหรือแม้แต่ลูกๆ ของพระคลัง
ทางด้านขวามือบนพื้นที่ยกสูงแต่ต่ำกว่าระดับที่นั่งของพระคลังและคณะทูต ตรงข้ามกับเอดมัน โรเบิร์ตและกัปตันไกซิงเจอร์ เป็นที่นั่งหมอบของกัปตันปิเอดาดึและคณะล่าม เลขานุการและเจ้าหน้าที่อื่นๆ  รวม 6-7 คน
ด้านหลังของทูตเอดมันด์ โรเบิร์ตมีบุตรชายคนเล็กของพระคลังนั่งอยู่ด้วยสองคน เมื่อได้รับคำสั่งจากบิดา บุตรคนหนึ่งของพระคลังก็คลานไปหาบิดาเช่นเดียวกับผู้อื่นและคลานกลับมายื่นบุหรี่มวนด้วยใบปาล์มแก่เอดมันด์ โรเบิร์ตและกัปตันไกซิงเจอร์ก่อนจะคลานกลับไปนั่งที่เดิม[11]
วันที่ 6 มีนาคม ค.ศ.1832 เอดมันด์ โรเบิร์ต ไปร่วมงานโกนจุกบุตรของพี่ชายพระคลัง เขาตื่นเต้นกับการแสดงกายกรรมแบบต่อตัวสูงเพราะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เอดมันด์          โรเบิร์ตเรียก “ฆ้องวง” ว่า “ฆ้องนง- Knong-nong)[12]
-ไฟไหม้โบสถ์ซางตาครูซและพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวคริสต์
วันที่11 มีนาคม ค.ศ.1832  เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่โบสถ์ซางตาครูซ ใกล้กับที่พักทูตและดับลงก่อนถึงเขตบ้านรับรองราชทูต ทำให้บ้านซึ่งสร้างด้วยไม้ไผ่และหลังคามุงจากติดไฟง่ายเสียหายจำนวนมาก  ทำให้บรรดาคนยากจนได้รับความเดือดร้อน ทั้งบ้านทั้งทรัพย์สิน  เหลือเพียงเสื่อ  เครื่องครัว หม้อดิน เหยือกน้ำ ผ้าเคียนเอวและผ้าผ่อนผืนเล็กๆ ไม่กี่ชิ้น แต่ก็ยังถูกขโมยมาฉกซ้ำไปอีก มีกระท่อมประมาณ 150 หลังถูกไฟไหม้ และผู้ได้รับความเดือดร้อน 50 – 60 คนเข้ามาอยู่ในบ้านทูตและตามห้องว่างในบ้านรับรองทูต และได้รับการเลี้ยงจากทูตอย่างดีหลายวัน [13]
พระราชาธิบดีและพระคลังได้พระราชทานและมอบไม้ไผ่มาสร้างบ้านใหม่ จากนั้นข้าวสารและของใช้ก็ถูกเพื่อนบ้านซึ่งรอดพ้นจากการถูกไฟไหม้นำมามอบให้ผู้เดือดร้อน ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ทุกคนต่างก็ช่วยกันสาดน้ำใส่กองเพลิงและบ้านซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนเรือนแพจำนวนมากใกล้ที่เกิดเหตุก็ปล่อยสายโยงล่องลงไปตามกระแสน้ำลง ชาวเรือนแพต่างก็เล่าลือกันไปต่างๆ นานา ถึงความเดือดร้อนที่ได้ประสบ มีคนตายสี่คนพร้อมกับข้าวของในแพ  พ่อค้าจีนถูกไฟครอกตาย 2 คน ในแพ ต่อมาเมื่อน้ำขึ้น แพเหล่านั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายกลับมาตั้งที่เดิม
-ลางร้ายอีแร้งเกาะหลังคาบ้านเจ้าท่าโปรตุเกส
เอดมันด์ โรเบิร์ตได้ยินมาว่า ก่อนหน้านั้นหมอดูชาวสยามได้พยากรณ์ว่า จะเกิดไฟไหม้ เนื่องจากมีผู้เห็นนกแร้งเกาะบนหลังคาบ้านของเจ้าท่าโปรตุเกส  บ้านของเจ้าท่าซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์โรมันคาทอลิกก็ถูกไฟไหม้ไปด้วย แต่โบสถ์กลับไม่ได้รับอันตรายจากไฟไหม้ครั้งนี้ เพราะสร้างเสร็จแต่ผนังเท่านั้น   เอดมันด์ โรเบิร์ตระบุว่า จากความยากจนของชาวคริสเตียนเหล่านี้ เขาเชื่อว่า อีกหลายปีกว่าจะสร้างโบสถ์ได้สำเร็จ บ้านเก่าด้านหลังสร้างด้วยไม้หลังคามุงจากก็มีสภาพทรุดโทรม มีโบสถ์คริสต์อีก4 แห่งในบางกอกและชานเมือง  และอีกหนึ่งแห่งที่อยุธยา นอกนั้นกลายเป็นซากโบสถ์ไปแล้ว[14]
วันที่13 กุมภาพันธ์ คณะทูตไปชมช้างเผือกและช้างสำคัญหลายเชือก จากนั้นก็ไปชมถนน บ้านเรือน ร้านรวงและแผงลอยเนื้อไก่ หมูผักและผลไม้ สินค้าจีน อินเดียและยุโรปส่วนใหญ่จะวางขายในตลาดลอยน้ำ(floating bazars)มากกว่า เอดมันด์ โรเบิร์ตรายงานว่าพบเห็นผู้คนน้อยมาก
วัตถุประสงค์หลักของเขาในการเข้าเมืองครั้งนี้คือการไปชมพระเมรุมาศที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการพระราชทานเพลิงพระศพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเสด็จทิวงคตไปเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว เขาอธิบายเกี่ยวกับกรรมวิธีในการจัดการพระศพและลักษณะพระเมรุมาศไว้อย่างละเอียด[15]
-ดินเนอร์แบบ “A la Siamese and Portuguese” ที่บ้านพระคลัง
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เอดมันด์ โรเบิร์ต กล่าวถึงการได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงโกนจุกบุตรชาย 2 คนและหลานชาย 1 คน ที่บ้านพระคลัง มีกงสุลโปรตุเกส ชื่อ ซิลไวรู(Silveiro)ไปร่วมงานด้วย เป็นการเชิญล่วงหน้า 10 วันแต่ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีกเป็นระยะๆ  เอดมันด์ โรเบิร์ตคุยว่า งานสำเร็จลงได้เพราะพระคลังได้ขอยืมตัวพ่อครัวคนหนึ่งในสองของคณะทูต โต๊ะ แก้วน้ำ แก้วไวน์  หม้ออบ(tureens) ทัพพี ช้อน ฯลฯ จากทูตอเมริกัน  พระคลังแจ้งให้ทราบว่า ตนยังไม่มีไวน์และขอให้ทูตนำไวน์มาช่วยงานในปริมาณที่จำเป็นด้วย ครั้นถึงเวลาบ่ายสามโมง ก็มีเรือกัญญา(เรือมีหลังคาคลุม)มารับเอดมันด์ พระคลังรออยู่ในห้องรับแขก โดยมีอาหารเย็นวางรออยู่แล้วบนโต๊ะ  มีการทักทายกันตามมารยาท และเมื่อเรานั่งลงเพื่อเริ่มรับประทานอาหารเย็น  ก็มีเสียงดนตรีบรรเลงออกมาจากภายในบ้านคลอไปกับเสียงของนักร้องหญิง ระหว่างงานเลี้ยงก็มีคนมานั่งหมอบลงกับพื้น(crouching to the ground) อย่างสงบเสงี่ยม เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในสนามหน้าบ้าน  เอดมันด์ โรเบิร์ตคิดว่า น่าจะมาดู “เรา” กินข้าว และดูนายทหารแต่งกายเต็มยศ  ไม่มีใครแสดงพฤติกรรมรุ่มร่ามโวยวายเหมือนอย่างที่จอห์น ครอว์ฟอร์ด(John Crawford) และคนอื่นๆ เคยบันทึกเอาไว้เลย มีแต่ความเงียบและการแสดงความเคารพเท่านั้น[16]
อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นแบบ “A la Siamese and Portuguese”[17] เวทีการแสดงหกสูง(vaulters and tumblers)ถูกยกขึ้นกลางลานบ้าน และการแสดงที่น่าแปลกใจก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อของหวานถูกนำมาเสิร์ฟ อันประกอบด้วยขนมอบและผลไม้สามสิบจาน (some thirty confectionary and fruit) การแสดงดังกล่าวประกอบด้วยผู้แสดง 12 คน ผู้แสดงสังกัดในกรมของเจ้าฟ้าน้อย หรือ ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย เช่นเดียวกับการแสดงในจวนของพี่ชายพระคลังเมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านั้น  หลังจากเปิดม่านออกแล้ว  เอดมันด์ โรเบิร์ต ได้ยืนดื่มอวยพรสมเด็จพระราชาธิบดีสยาม พระคลังดื่มอวยพรประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มีการดื่มอวยให้แก่บุคคลอื่นๆ อีก 2-3 ครั้ง  คณะกายกรรมหกสูงแสดงเป็นเวลานานถึง 2 ชั่วโมง จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน  จากนั้นนักแสดงชายหญิงจำนวน 12 คน แต่งตัวอย่างหรูหราก็ออกมาร่ายรำและแสดงระบำ(pantomimes : ละครใบ้) จนเลยสามทุ่ม คณะทูตซึ่งเหน็ดเหนื่อยกับการชมการแสดงจึงขอตัวกลับ เราเข้าใจว่าการแสดงคงจะมีต่อไปจนถึงหลังเที่ยงคืน ส่วนดนตรีก็บรรเลงในแบบเดียวกับที่เราเคยได้ชมมาแล้ว
-ยลโฉมภรรยาและบุตรของพระคลัง
 ขณะนั้นปรากฏว่า ม่านสามผืนซึ่งขึงบังคูหาด้านในของเรือนก็ถูกดึงขึ้น  เมื่อนักแสดงเริ่มสวมบทบาท ประตูทั้งสามบานก็ออแน่นไปด้วยภรรยาทั้งหลายของพระคลัง แถวหน้าเป็นลูกๆ ของพระคลัง ทั้งหมดสวมสร้อยและกำไลมือ ประทินผิวด้วยขมิ้นเหลือง เพื่อให้ผิวพรรณดูยองใย ผู้หญิงเหล่านี้มิได้มีกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นปูดโปนดังที่เราเคยเห็นมาก่อน รูปร่างแบบบางและปกปิดเรือนร่างมิดชิด บางคนมีผิวพรรณเกือบจะเรียกได้ว่าขาว แต่ละนางแต่งกายด้วยผ้าไหมรัดอกและเอวสีเข้ม(sombre-culours) แต่ไม่สวมเครื่องประดับอัญมณี แม้แต่หญิงที่อายุน้อยสุดก็มีฟันสีดำราวกับถูกพ่นสี  ส่วนริมฝีปากและเหงือกนั้นดูเผือดซีด[18]
ผู้ใหญ่ทุกคนมีส่วนร่วมในการโกนจุกของเด็กผู้ชาย  อย่างไรก็ตาม โดยมีลักษณะคล้ายๆ กับการถ่อมตน แต่จากการยิงปืนนกสับ 2-3 กระบอก การจุดดอกไม้ไฟ การมีดนตรี นาฏศิลป์และการแสดงหลายอย่าง ดูเหมือนว่า มีการคาดหวังจะได้รับของขวัญญาติ มิตร  คนรู้จัก เพื่อมอบให้แก่เด็กชายที่เข้าพิธี แต่ของขวัญที่มีค่าใกล้เคียงกันก็ถูกคาดหมายเอาไว้แล้วว่าจะได้รับกลับคืน ซึ่งพฤติกรรมทำนองเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในงานของขุนนางระดับสูงเสมอ
-เอดมันด์ โรเบิร์ต ระบายความในใจถึง Culture Shock ในสยาม
เพื่อที่จะแสดงออกถึงความไม่พัฒนาแบบสุดๆ ของคนเหล่านี้  แม้กระทั่งในหมู่คนชั้นสูง ปิเอดาดึ เจ้าท่าเมืองบางกอกจึงถูกพระคลังส่งให้ไปพบเอดมันด์ โรเบิร์ต  เพื่อแจ้งให้ทราบว่าคณะทูตจากสหรัฐอเมริกาจะต้องมอบของกำนัลแก่พระคลังเช่นเดียวกับจอห์น ครอว์ฟอร์ด(Crawford)และกงสุลโปรตุเกสได้ทำมาแล้วก่อนหน้านั้น ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนนี้ เพื่อเห็นแก่การทำสนธิสัญญา ซึ่งยังมีอีก 2 ประเด็น ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ เอดมันด์ โรเบิร์ตจึงโอนอ่อนไปตามข้อเรียกร้องเรื่องของกำนัล โดยมอบเหรียญเงินจำนวน 100 ดอลลาร์ ใส่ลงไปในแจกันทองคำ ซึ่งนายพลเอกเบเนดิโตแห่งกรมทหารปืนใหญ่เป็นผู้นำมา พร้อมกับแนบข้อความอวยพรแก่บุตรของพระคลังจากตนไปด้วย เอดมันด์ โรเบิร์ตวิจารณ์อย่างรุนแรงว่า นับเป็นทั้งเรื่องที่น่าหัวเราะและน่ารังเกียจมากที่ได้เห็นนายพลเอกซึ่งมีฐานะเป็นถึงขุนนางอันดับที่11 และมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยา กำลังคลานสี่เท้าบนพื้น แต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมผ้าไหมลาย สวมสร้อยคอทองคำเส้นใหญ่ คล้ายการแต่งกายในศตวรรษที่15 ซุกหน้าอยู่กับแจกันทองคำไปจนกระทั่งมอบแก่พระคลัง จากนั้นก็กราบพระคลังลงบนพื้นด้วยมือสองข้างที่ประนมไว้ แล้วก็ถอยกลับด้วยกิริยาอันนอบน้อม และขยับมาถ่ายทอดคำขอบใจจากพระคลังให้แก่เอดมันด์ โรเบิร์ตต่อมาแจกันทองคำใบนั้นก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะด้านหน้า  แล้วส่งต่อให้ชายสองคน คนแรก เป็นเหรัญญิก( the treasure) อีกคนน่าจะเป็นชาวมัวร์ เลขานุการชาวจูเลี่ยห์(Chuliah secretay) ผู้ซึ่งมักจะปรากฏตัวออกมาด้วยการคลานสี่เท้าพร้อมกับกระดาษสีดำ กระดานชนวนและดินสอในมือทุกครั้งที่มีการเจรจาทางธุรกิจเกิดขึ้น เหรียญเงินดอลลาร์ถูกนำออกมานับต่อหน้าของเอดมันด์ โรเบิร์ต   จากนั้นก็แจ้งให้พระคลังทราบว่าจำนวนเงินนั้น “ถูกต้องแล้วขอรับ!!!” (…and report to the Praklang to be alright !!!)[19]
ก่อนหน้านั้นประมาณ 1-2 วัน เอดมันด์ โรเบิร์ตได้มอบนาฬิกาเรือนทองประดับมุก ผ้าไหม 2 หีบ ตะกร้าถักจากเส้นลวดเงิน ขอบทองประดับด้วยรูปเคลือบ จำนวน 4 ใบแก่พระคลังไปแล้ว  ซึ่งของดังกล่าวนั้น เขาตั้งใจจะมอบให้เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว แต่โดยที่พระคลังได้ทราบมาก่อนล่วงหน้าว่า เอดมันด์ โรเบิร์ตมีของจะมากำนัลท่าน จึงส่งเจ้าท่าปิเอดาดึมาสอบถามว่า ของขวัญดังกล่าวเป็นอะไร และคิดเป็นราคาเท่าใด วันรุ่งขึ้นเจ้าท่าปิเอดาดึก็กลับมาพร้อมกับบุตรชายคนโตของพระคลัง ซึ่งดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นอันดับสองจากในจำนวนขุนนาง 4 คน   ที่ดูแลพระราชมนเทียนของพระราชาธิบดี คือ  “หลวงนายสิทธิ์”  เพื่อขอตรวจสอบของกำนัลและสินค้าคงคลังที่นำมา โดยเจ้าท่าบางกอกแจ้งเป็นนัยแก่เอดมันด์ โรเบิร์ตว่า งานของเขาจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากพระคลังได้รับของกำนัล แม้เอดมันด์ โรเบิร์ต  จะเห็นว่า ออกจะเป็นการไม่เหมาะสมที่จะมอบของกำนัลแก่พระคลังก่อนจะได้เข้าเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการแด่สมเด็จพระราชาธิบดี แต่เขาก็ยินยอมทำตามคำขอดังกล่าว โดยบอกกับตนเองว่า นี่เป็นการมอบให้โดยการคำสั่งและบ่ายวันนั้นของกำนัลดังกล่าวก็ถูกขนไป[20]

[2]http://www.literatureandhistory.go.th/index.php?app=academic&fnc=showlist&cateid=983&apptype=academic2
[3] ต้นฉบับหน้า 303 ระบุคำนำหน้านามว่า ซินญอร์ โยเซ ดา ปิเอดาดึ (Sur-Jose-da –Piedade)
[4]Edmund Roberts,  Embassy to the Eastern courts of Cochin-china, Siam and Muscat; in the US Sloop of War Peacock David Geisinger, Commander, during the Years 1832 -3-4 by Edmund Roberts, New York : Harpers Brothers,  1837 , p.230
[5] Edmund Roberts, ibid., p.246 ระบุชื่อว่า “Beneditto” ในเอกสารอื่นของไทยดูเหมือนจะระบุชื่อว่า  “Benedict”
[6] หน้า 303 ระบุคำนำหน้านำและชื่อสกุลว่า Sur-Beneditto-de –Arvellegeria
[7] Edmund Roberts,  ibid., pp 234-235. เอดมันด์ โรเบิร์ต กล่าวถึงพระคลังคนที่2 คือ พระยาพิพัฒน์โกษา , ibid., p.252
[8] Edmund Robert, ibid ,pp. 235-236
[9] P.236
[10] P.237
[11] P.238
[12] p.239
[13] pp.240-241
[14] P.241
[15] P.242-244
[16] P.245
[17] P.245
[18] P.245
[19] P.246
[20] P.247

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ราชบัณฑิตยสถานกับการแก้ไขคำสะกดทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ราชบัณฑิตยสถานกับการแก้ไขคำสะกดทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ราชบัณฑิตเจ้าขา...ดิฉันอยากเห็นงานงามๆ อย่างที่ดร.วิสุทธ บุศยกุล(ถึงแก่กรรม ด้วยความคารวะและอาลัยอย่างสูง)ทำ ร่วมกับ Dirk van Der CruysseและMichael Smithies เรื่อง The Diary of Kosa Pan (Ok-Phra Wisut Sunthorn) Thai Ambassador to France June-July 1686. ท่านเหล่านี้ตีโจทย์แตกหลายเรื่อง โดยเฉพาะชื่อฝรั่งเศสที่ท่านโกษาปานบันทึกเสียงเป็นภาษาไทยที่ค้างไว้ตั้งแต่สมัยที่หม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย นำสำเนากลับมาไทย

เมื่อ หลายสิบปีก่อน อาทิ มูสูรวิตง(Monsieur Raviton) บาตรีกาละเมริตา(Padre Carmelita) มูสูอินตังตัง(Monsieur l'Intendant) เมสีผู้ใหญ่(senior doctor) ฯลฯ แม้ว่าบางคำจะถูกลากเข้าฝรั่งเศสมากไปหน่อย (เช่น เมสีผู้ใหญ่นั้นน่าจะมาจากรากศัพท์โปรตุเกส )แต่ก็จุดประกายปัญญาให้นักเรียนโข่งได้มากมายเหลือเิกินเจ้า่ค่ะ เรื่องศัพท์แสงสมัยใหม่ท่านอย่าใส่ใจมากนักเลยเจ้าค่ะ ราชบัณฑิตแต่ละท่านท่านล้วนมีศักยภาพและปัญญาบารมีสูงทางด้านศัพท์แสงโบราณ ขอให้ท่านใช้พลังให้ถูกครรลองเถิด... ดิฉันมิอยากเห็นศัพท์แสงตระกูลละมุลภัณฑ์ กระด้างภัณฑ์อีกแล้วเจ้าค่ะ... 

มีตำรา..หนังสือโบราณ.. หรือ.. ประชุมพงศาวดารหลายภาค ..ที่รอท่านสานต่อพระอรรถาธิบายในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฯลฯ ...ราชบัณฑิตเจ้าขา..ดิฉันมิได้จาบจ้วงนะเจ้าคะ..ท่านอย่าฝืนโหลดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ลงลูกข่างลูกคิดอีกต่อไปเลยเจ้าค่าาาา...

ราชบัณฑิตเจ้าขา ...ประชุมพงศาวดารเรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์..."...เจ้ากรุงอังกฤษจึงใช้ให้หิศเอก สเลนซีเยียมบรุกเนกคะมันเดอออดนิโมด เนาเปออริบัดเปนเจ้าเมืองสรวะและเมืองลาบอน..." ฯลฯ 

"ลุอิศณโปเลซิง"นั้นซิงยังไงหรือเจ้าคะถึงได้เปนเจ้าผู้แผ่นดินผู้ครองเมืองฝรั่งเศส?...เมื่อผ่านสมัยของท่านเหล่านี้ ผู้ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ในอดีตได้ดีก็คือท่านราชบัณฑิตนะแหละเจ้าค่ะ เรื่องร่วมสมัย คำร่วมสมัยท่านไม่อธิบายดิฉันก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากเย็น!

ไม่เพียงแต่แวนโก๊ะจะทิ้งรอยฝีแปรงไว้บนดอก ทานตะวันในแจกัน เขายังสร้างความมีชีวิตชีวาไว้บนกลีบดอกของมันด้วย แม้ทานตะวันบางดอกจะทำท่าเหมือนอยากจะทิ้งตัวลงจากยอดก้าน แต่ก็พร้อมจะระริกระรี้ขึ้นมาใหม่ได้ทุกมุมมอง



เมื่อเกิดปัญหาจะเข้าตาจน หน่วย งานแรกที่มักจะถูกคิดถึงมากที่สุดหน่วยงานหนึ่งก็คือราชบัณฑิต 

"ถามราชบัณฑิตยสถาน"ดีกว่า 

แต่พอมาถึงสมัยนี้ราชบัณฑิตกลับมาถามประชาชนด้วยแบบสอบถามจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับความเห็นที่มี ต่อคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ ...

ไม้หลักก็ต้องปักให้ถูกที่ ยิ่งถึงดานก็ยิ่งดี ยิ่งพึ่งพาอาศัยได้ยั่งยืน

นี่จะถึงยุคดอกทานตะวันของแวนโก๊ะโรยราเสียแล้วหรือ...

ในสภาวะวิกฤตหลังญี่ปุ่นขอเดินทัพผ่านสยามไปพม่าเมื่อ 8 ธค. 2484 รัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงครามต้องใช้วิเทโศบายออกรัฐนิยมให้ชาวสยามสะกดคำไทยให้ตรงตามเสียง เพื่อเลี่ยงการถูกญี่ปุ่นบังคับให้รัฐบาลสยามใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการ อีกหนึ่งภาษา โดยปรับเปลี่ยนคำที่มีรากศัพท์มาจากต่างประเทศให้สะกดตรงตามเสียงแบบไทย อาทิ ประเทศแก้เป็น ปะเทด กระทรวง แก้เป็น กะซวง ฯลฯ ซึ่งอ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกสำนึกในบุญคุณ เพราะเป็นภาษาเขียนที่สร้างความสนุกสนานตลกขบขันให้แก่ลูกหลานไทยชั้นหลัง เป็นอย่างยิ่ง !?

จนในที่สุดก็ทำให้เราได้พจนานุกรมภาษาไทยฉบับพุทธศักราช 2493 ขึ้นมาใช้อีกหนึ่งฉบับ จะถือเป็นโชค หรือ เคราะห์ดีล่ะ...

ปัญหา คือ ตอนนี้สังคมกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอะไรที่รุนแรงอยู่จนถึงขั้นที่ราชบัณฑิตจะต้องเข้ามารื้อสร้างวางระบบการเขียนและสะกดคำภาษาต่างประเทศใหม่ให้ เกิดความสับสน..!?

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

“จริยธรรมของสื่อมวลชนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปีพ.ศ.2553และการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป 3 กค.2554 : กรณีศึกษาการเสนอข่าวของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ช่อง3 Nation TV, Spring News, INN และ TNN24”


จริยธรรมของสื่อมวลชนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปีพ.ศ.2553และการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป 3 กค.2554 : กรณีศึกษาการเสนอข่าวของสถานีวิทยุและโทรทัศน์ช่อง3 Nation TV,  Spring News, INN และ TNN24”

โดย นางสาว ปิ่นมยุรฉัตร ศรีวัฒนสาร
นักศึกษาภาควิชาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล
คณะนิเทศศาสตร์  มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ลำดับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนเสื้อแดงพ.ศ.2553
ข่าวการปะทะที่สี่แยกคอกวัว
9เมย53 เปรียบเทียบการรายงานข่าวการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับนปช.
-สำนักข่าว INN(รายงานตรงไปตรงมาใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร) กับ Nation TV (ไม่เป็นกลาง ใส่อารมณ์ของคนอ่านข่าวไปด้วย)
10เมย.53 สื่อ Nation TVวิจารณ์ว่า ม็อบนปช.กับทหารจับมือกันหลังการปะทะที่ลาดหลุมแก้ว แสดงถึงความอ่อนแอ ใส่เกียร์ว่างของทหาร ทำงานไม่เต็มที่ แทนที่จะพูดถึงการมีน้ำใจนักกีฬาของทั้งสองฝ่าย เมื่อห้ำหั่นกันไม่ลงก็จับมือให้เกียรติกัน ไม่งั้นจะกลายเป็นการไม่ให้เกียรติ ต้องเอาคืนขาดวุฒิภาวะเหมือนนักเรียนช่างกล

11เมย.53 จอมขวัญ หลาวเพ็ชร ออกตัวเสนอภาพรถหุ้มเกราะ7-8 คัน ไม่ต้องการยั่วยุ  ต้องเสนอภาพหลายด้านเพื่อความเป็นกลาง  มีการปะทะที่สี่แยกคอกวัว มีการยิงปืนนานาชนิดใส่กันทั้งสองฝ่าย และมีการยิงM79 และขว้าง M26 ด้วย

          เหตุการณ์ดังกล่าว กนก รัตน์วงศ์สกุล และธีระ ธัญไพบูลย์ รายการเก็บตกจากเนชั่น (Nation TV )พูดในรายการว่า ทหารไม่คิดว่าประชาชนจะมีอาวุธ ทำได้ยังไง ยิงM79 ทหารก็เป็นคนบ้านเดียวกับท่าน ทำได้ไง โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองคนไม่ได้พูดว่าอะไรขณะที่ฝ่ายทหาร ยิงกระสุนยาง ขว้างแก๊สน้ำตา เตะ ถีบ ล้มเต็นท์ทำลายข้าวของของฝ่ายผู้ชุมนุม พระห้ามก็ไม่ฟัง

15 เมย.53  ธีระ ธัญไพบูลย์ Nation TV อ่านข้อความจากนิพิธ อินทรสมบัติ ว่า แกนนำนปช.ได้เงินจากผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล หลายร้อยล้านบาท เพื่อให้ออกไปจากสี่แยกคอกวัว  โดยอ้างคำพูดของจตุพร พรหมพันธุ์ที่ว่า ชีวิตสำคัญกว่าเงิน แล้ววิจารณ์ว่า ถ้าชีวิตสำคัญกว่าเงินแล้วจตุพรมีปัญญาจ่ายค่าเสียหายวันละ 150ล้านบาทหรือไม่

27เมย.53  Nation TV  กนก รัตน์วงศ์สกุล และธีระ ธัญไพบูลย์) อ้างว่ามีMailยุให้ฉีดอุจจาระใส่ผู้ชุมนุมนปช.ที่แยกคอกวัว  นายกนก รัตน์วงศ์สกุลเสริมว่า ถ้าฉีดอุจจาระใส่แล้วไม่เลิกชุมนุมก็ให้อยู่กับ สิ่งนั้น ไป ส่วนนายธีระ แย้งว่า ถ้าเขายึดสายฉีดอุจจาระไปได้แล้วฉีดกลับจะทำอย่างไร วิธีนี้เก็บเอาไว้ก่อน ปรากฏว่ามีMailบ่นว่าส้วมของ นปช. เหม็นปัสสาวะมาก

29 เมย.54  Mail ว่อนในInternet ระบุว่า พตท.ทักษิณ ชินวัตร ป่วยเป็นมะเร็งขั้น3และช็อคขณะให้คลีโม

5พค.53 นปช.จัดเวทีเฉลิมพระเกียรติ วันฉัตรมงคล
กนก รัตน์วงศ์สกุลและธีระ ธัญไพบูลย์ เนชั่นทีวีบอกว่า ถ้าทำพิธีฉัตรมงคลแล้วประกาศเลิกชุมนุมก็สวย แต่หนังสือพิมพ์บางฉบับบอกว่า แดงเขิน หาทางลง

กนก-ธีระ บอกว่า คนเสื้อแดงบอกว่า รัฐบาลน่าจะประกาศวันยุบสภา แต่ตัวสั่นพั่บๆเขินๆ อยากเลิกชุมนุม แกนนำแดงควรมอบตัว ผู้ชุมนุมควรกลับบ้าน สังคมจะมีปัญหาเยอะ บางคนมารอบ2แล้ว

กนก บอกว่า เมษาหน้ามาใหม่ คราวที่แล้ว ยิงมัสยิด เผารถเมล์ อย่ามานะโว้ย ใครจะรับประกันว่า ปีหน้าจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน
(17พค.53 สื่อหลายสำนัก เสนอว่านปช.ควรเลิกชุมนุม ในทางตรงกันข้าม แทบจะไม่มีสื่อสำนักใดเลยที่เรียกร้องไม่ให้รัฐบาลปราบปรามประชาชน หรือ ขอให้รัฐบาลยุบสภา)
19พค.53 เริ่มสลายผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

กลางคืน 20พค.53 MV TV  จัตุรัสการเมือง   บางกอกทูเดย์  เผด็จ ภูริปฏิภาณ ทำรายการเพื่อยุติการทำสื่อที่มุ่งร้ายทำลายความเป็นกลาง ยั่วยุ แสดงความเป็นอริกับอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้ง สื่อไม่มีสิทธิ์แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างโจ่งแจ้ง

20พค.53 รายการ Daily Dose  20.00 น. มล.ณัฐฐากรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ มาแปลกกว่าทุกกรณีรัฐบาล ปล่อยให้มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดง วัน กล่าวว่า รัฐบาลเอาสถานการณ์ไม่อยู่ เพราะไม่ใช้ความเด็ดขาดในการปราบปรามผู้ชุมนุม หากเป็นที่อเมริกา เขาจะไม่เจรจา และจะปราบอย่างรุนแรง  มล.ณัฐฐกรณ์ คงลืมไปว่า ประเทสไทยไม่ใช่สหรัฐอเมริกา และถ้ารัฐบาลใช้มาตรการรุนแรง ผู้ชุมนุมจะตายมากกว่านี้


การเลือกตั้งทั่วไป 3 กค. 2553
จริยธรรมของสื่อมวลชน

-การค้นหาความจริงมารายงานข่าวทำให้มองข้ามผลประโยชน์ด้านการรักษาความลับทางทหารของกองทัพ(15กพ.54)
ระหว่างการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จ.ศรีสะเกษ  มีทหารได้รับบาดเจ็บ 5 นาย นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เข้าไปนอนค้างกับชาวบ้านโดนอาว ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์   ซึ่งห่างจากชายแดนบริเวณบ้านภูมิซรอลประมาณ 10 กิโลเมตร

คนอ่านข่าวชาย-หญิง ของ Nation TV สัมภาษณ์ ผู้ว่าฯ ว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร ผู้ว่าฯตอบว่า ไม่มีอะไร ทุกอย่างสงบ แต่คนอ่านข่าวหญิงวิจารณ์ว่า  ผู้ว่าฯนอนห่างจากชายแดน 10 กิโลเมตร ไม่รู้สึกอะไร แต่ชาวบ้านตกใจ  การวิจารณ์เช่นนี้ทำราวกับต้องการจะต้อนให้ผู้ว่าฯตอบว่า สถานการณ์ที่นั่นมันน่ากลัวมาก! ”ให้ได้

ความผิดพลาดของผู้สื่อข่าวเรื่องข้อมูล
ภาสกร โตหอมบุตร Nation TV  เรียกที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์เป็น  ศาลากลางอำเภอ
การแสดงความคิดเห็นคาบลูกคาบดอกแบบไม่ตั้งใจ
ความวุ่นวายเพื่อขับไล่ประธานาธิบดีมูอัมมาร์ กัดดาฟี ของลิเบีย และความไม่สงบเป็นระลอกคลื่นคล้ายทฤษฎีโดมิโนในอียิปต์และตะวันออกกลาง ซึ่งเริ่มต้นประมาณกุมภาพันธ์ 2554 ทำให้ โจจิรัฎฐ์ อินทวิทูร คนอ่านข่าวSpring News(19 กพ. 2554)  ตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ ว่า แล้วทำไมบ้านเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้

(วิจารณ์:  บ้านเมืองในแอฟริกาและตะวันออกกลางเป็นสังคมปิด แต่ไทยเป็นสังคมเปิด เงื่อนไขจึงต่างกัน)

สื่อมวลชนแสดงอารมณ์ชี้นำสังคม
7.30น. Nation TV. 17มิย.54
-เสนอภาพข่าวการหนีบแขวนลูกสุนัขไว้บนราวตากผ้า ผู้อ่านข่าวหลุดปากออกมาว่า แม่งโหดร้าย
-อีกภาพหนึ่งเป็นภาพหญิงจีนกำลังย่างลูกสุนัขขายสดๆ ท่ามกลางลูกค้าที่ยืนคอยซื้อ คนอ่านข่าวก็พูดว่าโหดร้าย
(วิจารณ์ กรณีนี้ต้องอธิบายให้ผู้ชมทราบถึงวัฒนธรรมพื้นเมืองของแต่ละชนชาติว่า  แตกต่างจากชาวตะวันตกและชาวไทยภาคกลาง  คนจีนกินแมว งู หมา ตะขาบ สมองลิงฯลฯ โดยถือว่าเป็นยาบำรุง)

สื่อมวลชนนึกว่าตนเองเป็นPop star
7.2 น. 17 มิย. 54  สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เสนอข่าวกกต.จังหวัดหนึ่งทำPR ให้คนตื่นตัวไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยการจ้างสาวโคโยตี้ นุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อยืดรัดอกเต้นบนเวที สรยุทธ์จงใจยกมือทำท่าทางเต้นเลียนแบบโคโยตี้ พอภาพปรากฏออกมาในจอก็บอกว่า ลืมตัว

รายการข่าวของสรยุทธ์ ช่อง3
แบ่งออกเป็นช่วงๆ ช่วงแจกเสื้อ ช่วงข่าวอาชญากรรม ช่วงข่าวการเมือง
ภาษาที่สรยุทธ์ สุทัศนะจินดาใช้บ่อย
 เช่น..........คุ้นชิน แทนคำว่า คุ้นเคย 
          สื่อสารมวลชน แทคำว่าน สื่อมวลชน
          สุ่มเสี่ยง แทนคำว่า เสี่ยง 
          ตรวจสอบ
          ไล่เรียง
          น้ำก้อนใหญ่
การวิจารณ์เนื้อข่าวของสรยุทธ์ประเด็นการหาเสียงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ(17มิย.54)
-ประเด็นการหาเสียงเพื่อจุดกระแสต้านความร้อนแรงเรื่องคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยซึ่งมีแนวโน้มว่า กำลังพุ่งแรง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ปราศรัยเพื่อปลุกกระแสขวางคนเผาบ้านเผาเมืองขึ้นมามีอำนาจ  สรยุทธ์ได้กล่าววิจารณ์เพิ่มเติมว่า ฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์ดิบ ถ่อย เถื่อน และมันมีคำอธิบาย(แก้ตัว)ได้ตลอด ดังนั้นคุณอภิสิทธิ์ต้องไม่ให้คนเผาบ้านเผาเมืองเข้ามามีอำนาจ หลังจากพม่าเผาบ้านเผาเมืองมาแล้วสองครั้ง ผมไม่คิดว่าจะเห็นคนไทยเผากันเอง เราต้องหาความจริง  และเพิ่มเติมว่า  คุณอภิสิทธิ์ใช้ลีลาดุดันที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
(วิจารณ์: แต่จากการที่ได้ดูภาพข่าวแล้วไม่ปรากฏว่าจะมีลีลาดุดันอย่างที่สรยุทธ์ว่าเลย )

ในช่วงที่มีรายงานข่าวการหาเสียงเหตุการณ์เดียวกับในข่าวของนายสรยุทธ์  ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ช่องNation TV รายงานว่า มีผู้ฟังจำนวนหนึ่งหนีฝน ช่องSpring News รายงานว่า มีคนฟังจำนวนมากโดยไม่ได้หนีไปไหนแม้ว่าฝนจะตกหนัก

กรณีภาพตัดต่อของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยถูกอดีตนักร้องแกนนำเสื้อแดงโอบว่อนในInternet (17 มิย.54 )

ภาพในFBที่เผยแพร่มีเฉพาะภาพของนางสาวยิ่งลักษณ์คล้ายคนเมาแล้วถูกนายอริสมันตร์ พงศ์เรืองรองรุนหลังราวกับมีการใช้กำลังรุน-ดันให้เดินออกไปข้างนอกด้วยกัน อย่างน่าตกใจและมีคำบรรยายในFBว่าใครอยากโอบกอดว่าที่นายกฯหญิงบ้าง   

ปรากฏว่า 2-3วันต่อมาหนังสือพิมพ์มติชน ลงภาพใหญ่มีคนอยู่ในภาพประมาณ 5 คน รวมทั้งดาราสาว กบ สุวนันท์ คงยิ่งอยู่ในภาพด้วย  กรณีนี้Nation TVได้อธิบายข้อเท็จจริงในภาพอย่างชัดเจนในรายงานข่าวเช้าตั้งแต่ประมาณ 7 .00 น. โดยนางสาวยิ่งลักษณ์เองก็ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นงานเลี้ยงของพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ มีคนอยู่หลายคน เป็นการรุนหลังออกไปเต้นรำ ตนเองไม่อยากเต้น แต่รายการข่าวเช้าของสรยุทธ์เพิ่งจะแก้ข่าวเมื่อประมาณ 8.00น. ทั้งๆ ที่ข่าวดังกล่าวเป็นหัวข้อที่สังคมสนใจ(Talk of the Town)”

เวลาต่อมาในวันเดียวกันนั้น มีการเสนอภาพข่าวสุนัขพันธ์ลาบาดอร์ขย้ำใบหน้าเด็กน้อย พอ น้องไบรท์ คนอ่านข่าวคู่ของสรยุทธ์บอกกับผู้ชมทางบ้านว่า .ต้องเย็บถึง 20 เข็ม สุรยุทธ์ก็รีบรับลูกร้อง โอ้โฮ้เพิ่มองศาแห่งความรู้สึกสยดสยองหวาดเสียวให้กับผู้ชมทันที พอจบข่าวดังกล่าวก็ตบท้ายด้วยเสียงถอนใจว่า เฮ้อ!”อย่างเป็นงาน

ข่าว  พญ.  หทัยพร อิ่มวิทยา(หมอมุก) ถูกทหารขับรถพุ่งชนได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้าICU (27มิย.54) กับการแสดงออกแบบOver Actionของคนอ่านข่าว
วันนี้ร่างกายหมอมุกตอบสนอง สรยุทธ์มุ่งจะบอกผู้ชมว่า เหมือนมีปาฏิหาริย์เพราะคนดีผีคุ้ม หรือ คนดีอย่างหมอมุกมีปาฏิหาริย์แบบไม่น่าเชื่อ  แต่สรยุทธ์กลับใช้คำพูดว่า ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ทั้งๆ ที่คนอื่นเขาดีใจและต่างก็ภาวนาให้หมอมุกรอดตาย มองอีกด้านหนึ่งสงสัยว่าสรยุทธ์จะคิดว่า ดูสภาพแล้ว หมอคงไม่รอดอยู่คนเดียวมั๊ง

การออกเสียงคำศัพท์ภาษาต่างประเทศไม่ถูกต้อง
กนก รัตน์วงศ์สกุล ช่อง Nation TV รายงานข่าวน้ำท่วมริมเมย เรียกพื้นที่ไม่มีเจ้าของว่า โนแมนแลนด์ ควรออกเสียงว่า โน แมนส แลนด์-No man’s Land”

ชื่นชมสรยุทธ์(29มิย.54)
ข่าวนายอภิสิทธิ์ไปเยี่ยม นายกมล จิระพันธ์วาณิช บิดา นายกเทศมนตรีเมืองลพบุรีซึ่งถูกลอบยิงตาย จากนั้นก็เดินทางไปหาเสียงที่โลตัส ลพบุรี ปรากฏว่าพอปราศรัยไประยะหนึ่งเกิดลมกรรโชก แล้วจึงมีฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ป้ายกระพือเปิดเปิง เก้าอี้ล้มระเนนระนาด ทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบเก็บป้าย เก็บเก้าอี้ 
- เวลา 7.10  สำนักข่าว TNN24  ห้องข่าวเช้านี้   รายงานเนื้อความข่าวครบถ้วน แต่ไม่มีภาพข่าว  ผู้อ่านข่าวรายงานคำกล่าวของนายอภิสิทธิ์ตอนฝนตกหนักว่า ของเขาแรงจริงๆอาจตีความได้ว่า อยากจะป้ายสี พรรคฝ่ายตรงข้ามว่า เล่นของ จึงทำให้ฝนตก หรือ แค่พูดแก้เกี้ยวเพราะไม่สามารถปราศัยจนจบได้
-Spring News ไม่รายงานข่าวตอนฝนตก
-รายการข่าวเช้าของสรยุทธ์ รายงานครบถ้วนทั้งเสียงและภาพข่าวซึ่งช่องอื่นไม่มี ดังนี้
          1.คะแนนเสียงที่เลือกประชาธิปัตย์ เป็นคะแนนที่ปฏิเสธความรุนแรง  ซึ่งอาจวิจารณ์ในที่นี้ได้ว่า เป็นการพูดแบบแบ่งแยกประชาชน
          2.เราทำการเมืองแบบมาตรฐาน แบบประเทศประชาธิปไตย ถ้าเลือกทักษิณก็ต้องล้างความผิดให้ทักษิณ  ถ้าอย่างนั้นใครอยู่ในคุกก็ต้องปล่อยให้หมด  (ประโยคนี้เป็นการพูดคาดการณ์เชิงบิดเบือนเจตนารมณ์ของฝ่ายตรงข้าม) ต้องสนับสนุนการไม่ล้างความผิด เดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกันเมื่อลมกรรโชกมาแรง นายอภิสิทธิ์ก็ยังใช้ปรากฏการณ์ดังกล่าวมาปราศรัยด้วยว่า นี่ละครับ พอผมบอกว่า จะล้างความผิดให้ทักษิณ  ฟ้าก็เลยรับรู้  จากนั้นพอฝนตกห่าใหญ่ อภิสิทธิ์ก็พูดอีกว่า ของเขาแรงจริงๆ. ก่อนจะรีบลงจากเวทีไปหลบฝนทั้งๆที่ยังปราศรัยไม่จบ

ตัวอย่างสาระที่สะท้อนจากสื่อต่างๆ
-Spring News
2 กรกฎาคม 2011 เวลา 11:05 น.
สุวัจน์ ลิปตะพัลลภ ราชสีห์การเมืองอีสานพูดเมื่อวานนี้ว่า  เราต้องขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า รักษาระบอบรัฐสภา เราได้ 50 ประเทศได้100 เราต้องเสียสละ รัฐบาลอย่าแจกของร้อน ให้แจกของเย็น เวลาฝายค้านพูด รัฐบาลอย่าเดินหนี ฝ่ายค้านก็อย่าค้านทุกเรื่อง หรือเฝ้าตีรวนนับองค์ประชุม ถ้า2 ขั้วจับมือกัน พรรคเล็กก็งอแงเล่นตัวไม่ได้ ถ้า 2 พรรคใหญ่ตกลงกันไม่ได้ พรรคเล็กก็เล่นแง่ ยกมือ ตีรวน พรรคเล็กพรรคน้อยพอเข้าร่วมรัฐบาลก็อย่าบอกว่าผมขอเหมือนเดิมนะ รัฐมนตรีไม่ดีจะเปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร จะได้หาคนดีที่สุดมาทำงานให้ประชาชน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในวงการเมืองไทย ไม่ต้องทำสัตยาบันหรอกเพราะถึงยังไงคนก็ไม่เฃื่อถืออยู่แล้ว เลือกตั้งเสร็จ แต่ละพรรคก็มีเงื่อนไขน้อยๆหน่อย พรรคอันดับหนึ่งได้คะแนนสูงก็ต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้โดยเร็ว ร้านอาหารคนเข้าคิวรอเยอะ ถ้ารัฐบาลจะอายุสั้น เป็นมะเร็งเสียก่อนก็ขอให้ตายหลังพค. 2555 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเลขที่111 เกิดใหม่ คนพวกนี้เป็นassetของประเทศ มีมีอะไรทำให้ต้องยุบสภาขอให้ยุบในช่วงนั้น การเมืองจะมีตัวแปรใหม่ๆ หวยจะได้ไม่ล็อค! (ถ้าพูดก่อนหน้านี้สักสิบปีและรักษามาตรฐานการพูดอย่างนี้มาอย่างคงเส้นคงวา ท่านคงได้เป็นถึงรัฐบุรุษทางการเมือง)
การแสดงจริยธรรมเรื่องความเป็นกลางที่สะท้อนมาจากสื่อนอก
ท่ามกลางกระแสสื่อเลือกข้างแบบอีแอบบ้าง แบบโจ่งแจ้งบ้าง สื่อมวลชนจากต่างประเทศสะท้อนความเป็นกลางระดับหนึ่งดังนี้
29มิย.54 ทีวีช่องหนึ่ง กล่าวถึงบทวิเคราะห์การเมืองไทยในนิตยสารTimes โดย มาร์แชลฯ มีใจความว่า  อภิสิทธิ์ถีบตัวออกมาจากคนรากหญ้า  เศรษฐกิจไทยเติบโตกว่า15ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวไม่หวาดกลัวเหตุการณ์นองเลือดในประเทศไทย

ทีวีช่องดังกล่าวระบุถึงบทความของจอห์น คริสปิน(John Crispin) ในนิตยสาร Times Asia ว่า กองทัพและทักษิณเจรจากันหลายครั้ง ดังนั้นจะไม่เกิดความรุนแรงหลังเลือกตั้ง แลกกับการไม่แก้แค้นทางการเมืองและการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกองทัพ จะมีการตั้งคณะกรรมการปรองดองอิสระ เพื่อพิจารณาการนิรโทษกรรมทั้ง3ส่วนโดยมีนายสุรเกียรติ เสถียรไทยเป็นประธาน

Nation TV
(1กค.54)
รายการอ่านข่าวของ นายกนก รัตน์วงศ์สกุลและนายธีระ ธัญไพบูลย์ ชี้แนะผู้ชมว่า อย่าเลือกคนเผาบ้านเผาเมือง อย่าเลือกคนแค้นเคืองสถาบัน และกรณีการขึ้นป้าย Vote No ของพรรคเพื่อฟ้าดิน(เสื้อเหลือง) ที่ทำสัญลักษณ์อย่าเลือกเสือสิงห์กระทิงแรดเข้าสภา นายกนกกล่าวว่า ไม่สมควรที่จะมีพรรคไหนไปร้อง ถ้าไปร้องก็แสดงว่าคุณเกี่ยวด้วยหรือ ส่วนนายธีระ (คิ้วดก)รับลูกว่า ไม่มีการระบุชื่อพรรค ไม่เห็นจะทำให้ใครเดือดร้อน เขาเสียเงินขึ้นป้าย เขาก็จ่ายเงินของเขาไป นายกนกพูดว่า สื่อต่างๆเลือกข้างและเลือกพรรคชัดเจน
(วิจารณ์: บ้านเมืองจะไม่สงบ ถ้าสื่อไม่เป็นกลาง สื่อเลือกข้างเพราะผลประโยชน์ เช่น รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อนุมัติให้สื่อเครือNation TV เข้าไปทำรายการข่าวในช่อง11(เก่า) รวมถึงการสยายปีกเข้าไปรับเหมาทำข่าวให้กับTVช่องต่างๆอย่างกว้างขวาง)

สื่อเป็นกลางบางโอกาส
2กค.54
ก๊วนข่าวเช้าวันหยุด  ช่อง 3 โดย กฤษณะ ละไลและสุขุม นวลสกุล
กฤษณะ ละไล หลุดปากกระทบ เรื่อง ลักษณะ2มาตรฐานของการเมืองไทย แบบไม่ตั้งใจว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตอนปราศรัยที่กทม.ฝนตก แต่การปราศรัยของพรรคภูมิใจไทยที่กาฬสินธุ์ฝนกลับไม่ตก ขนาดเทวดายัง 2 มาตรฐานเลย
16กค54
ก๊วนข่าวเช้าวันหยุด  ช่อง3 อ่านพาดหัวข่าว ปชปงจ่อฟ้องยุบพรรคเพื่อไทย กรณีหาเสียงด้วยนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ300บาท หลอกลวงประชาชน  อ.สุขุม นวลสกุล วิจารณ์ว่า เขายังไม่ทันแถลงนโยบายรัฐบาลเลยว่าจะเอาหรือไม่เอาอย่างไร จะข้ามขั้นตอนฟ้องเสียก่อนแล้ว

3กค54 สื่อไม่เป็นกลาง
เวลา 22.30 น.  จอมขวัญ หลาวเพ็ชรและบรรจงฯ ขอสัมภาษณ์นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทันทีทางโทรศัพท์หลังการแถลงข่าวประกาศชัยชนะการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย โดยพยายามถามแหย่นางสาวยิ่งลักษณ์โดยบางครั้งก็ใช้สีหน้าแบบทีเล่นทีจริง บางครั้งก็ตีหน้าทะเล้นและบางครั้งก็ทำสีหน้าประจบประแจง ดูแล้วเหมือนไม่ให้เกียรติผู้ให้สัมภาษณ์เท่าที่ควร  ดังนี้
          จอมขวัญ- เรื่อง อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ(DSI) จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
          นางสาวยิ่งลักษณ์- การเมืองไม่ก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม
          จอมขวัญ- จะมีการขอพบผู้บัญชาการทหารบก
          นางสาวยิ่งลักษณ์-ถ้ามีทางใดจะพัฒนาประเทศไทยได้ก็ต้องมีการคุยกัน
          จอมขวัญ- ในฐานะผู้บังคับบัญชาหรือ
          นางสาวยิ่งลักษณ์- ใช่ และพร้อมรับการตรวจสอบภายใต้กติกาที่เป็นธรรม

4กค.54
-รายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสรยุทธ์ตกแต่งฉากหลังวันเลือกตั้งเป็นโทนสีฟ้า พิธีกรผู้อ่านทั้งหมดก็ใส่เสื้อยืดสีฟ้า แจกเสื้อยืดสีฟ้าสำหรับผู้ที่โทรศัพท์เข้าไปร่วมรายการ  เหมือนเป็นนัยว่า สื่อช่องนี้เลือกข้างใด  แต่เมื่อสรยุทธ์ สุทัศนะจินดาและฐปนีย์ เอียดศรีชัย นำภาพข่าวการสัมภาษณ์นางสาวยิ่งลักษณ์หลังการประกาศชัยชนะมาออกอากาศในตอนเช้าอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าการสัมภาษณ์นั้นกลับมีลักษณะแบบให้เกียรตินางสาวยิ่งลักษณ์มากกว่าช่องเนชั่นทีวี แม้ว่าจะสัมภาษณ์ในเวลาใกล้เคียงกันก็ตาม
            คำถาม
          -เคยคิดไหมว่าจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี( ตอบ ไม่เคยคิด ทำงานด้วยหัวใจ)
          -จะบอกน้องไปป์ยังไง(ตอบตอนนี้จะอยู่กับลูกต่อไป และจะชดเชยให้ภายหลัง)

(วิจารณ์: ชวนให้คิดง่ายๆว่า บางทีการเมืองไทยใช้ความสวยแข่งกับความหล่อ ถ้าพรรคเพื่อไทยส่งนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ไปแข่งกับนายอภิสิทธิ์ พรรคเพื่อไทยอาจแพ้ก็ได้)

ความเป็นกลางและความมีน้ำใจนักกีฬากับระบอบประชาธิปไตย
-โดยหลักการฝ่ายค้านต้องค้านอย่างสร้างสรรค์ ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่
-สมาชิกวุฒิสภา(สว.) รสนา โตสิตระกูล พรรคเพื่อไทยอย่าสำคัญตนผิดว่าได้เสียงข้างมากแล้วจะเป็นเผด็จการรัฐสภา แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

การเปรียบเทียบจริยธรรมของสื่อต่างประเทศ(4กค.54)
สำนักข่าวซินหัว(จีน)  นายกฯหญิงอายุน้อยที่สุดในโลก นายกฯหญิงคนที่16ของโลก
Wall Street Journal การแบ่งขั้วยังอยู่ ระบบอุปถัมภ์และการซื้อเสียงยังมี  ประเทศไทยบรรลุถึงการปกครองที่เป็นของคนส่วนใหญ่
BBC ยิ่งลักษณ์ต้องรับภาระหนัก ใช้นโยบายเดิมของพตท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพิสูจน์ว่าสามารถนำรัฐบาลได้ด้วยตนเอง ต้องสลัดภาพการนิรโทษกรรมออกไป
Bloomburg(USA) หุ้นไทยขึ้น เดือนที่แล้วนักลงทุนขายหุ้นทิ้ง สังคมไทยจะมีเสถียรภาพอีกครั้ง
ธนาคารUOB ชัยชนะของเพื่อไทยจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอีกครั้ง หุ้นไทยจะปรับขึ้น3%

สื่อต่างชาติวิจารณ์ว่า ภาพที่อภิสิทธิ์ออกไปหาเสียงหรือพบปะกับประชาชนนั้น บางภาพไม่เป็นธรรมชาติ บางภาพมีอาการเคอะเขิน ภาพทำนา/อุ้มเด็กเหมือนฝืนใจตนเอง สื่อสิงค์โปร์ว่า เก้ๆกังๆ ถ้าไปลุยโคลน

นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท กับจริยธรรมในสื่อ
รายการครบมุมมอง TNN24 (5กค.54) ย่างก้าวใหม่ประเทศไทย
            ธุรกิจในประเทศไทยให้ผลตอบแทนดี แต่มีปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ การประกันราคาข้าวเกวียนละ 25,000 บาทใครว่าจะทำให้ประเทศไทยล่มจม ไม่จริง ขึ้นค่าแรงเป็นวันละ300 บาท ใครว่าไม่ได้ ตอบว่าได้ แต่ต้องประสานงานกับเอกชนให้ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพิ่มผลผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพทั่วประเทศเพื่อสร้างผลกำไรให้มากขึ้น จากนั้นจึงนำผลกำไรมาแบ่งเพิ่มเป็นค่าแรง การลดภาษีนิติบุคคล(จาก 30 % เหลือ 23%)
          ไทยมีรายได้มวลรวมประชาชาติ 10 ล้านล้านบาท มีหนี้ประชาชาติ 40 % ของGDP ถือว่าไม่มาก ขณะที่ USA มีหนี้ 100% ประเทศอื่นๆ มีหนี้ประชาติ 60-70 % แต่ละปีเราจ่าหนี้สาธารณะ ประมาณ หนึ่งแสนล้านบาท ถือว่าเก่งมาก
          รัฐต้องช่วยให้เอกชนเข้มแข็งแบบเกาหลีโดยส่งเจ้าหน้าที่รัฐไปประกบเอกชนเพื่อดูว่าจะช่วยเอกชนด้านใดได้บ้าง เพื่อให้เอกชนเข้มแข็ง เมื่อเอกชนกำไรรัฐก็มีรายได้กลับคืนมาในรูปภาษี เกิดการจ้างงาน เชื่อมั่นว่าฝ่ายค้านจะคอยกำกับดูแลไม่ให้รัฐบาลออกนอกลู่นอกทางและ ต่อไปรัฐก็จะอัดฉีดโครงการต่างๆน้อยลงไปเอง
สื่อมุ่งผลประโยชน์จากส่วนแบ่งSMS
สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา เรื่องเล่าเช้านี้
“ท่านผู้ชมสามารถร่วมจัดรายการกับผมได้ นี่ผมลืมเลย... บอกจังหวัด ตำบล อำเภอ” มีอะไรจะเล่าจะบอกก็เชิญได้ มีเสื้ออภินันทนาการเหมือนเดิมครับ
(วิจารณ์: พูดเหมือนไม่ตั้งใจจะประชาสัมพันธ์ให้ผู้ชมส่งSMS  หรือ เหมือนไม่สนใจผลประโยชน์จากส่วนแบ่งSMS)
วิจารณ์การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพิทยะ ศรีวัฒนสาร
นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 215 บาท เป็น 300 บาท ทั่วประเทศ ของพรรคเพื่อไทย กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากคณะกรรมการไตรภาคีพิจารณาค่าแรง นักวิชาการกระบอกเสียงนายทุน และนายทุนจำนวนหนึ่ง  ประเด็นหลักคือ เป็นการบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันกับประเทศต่างๆในภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหนีไปลงทุนในเวียดนาม ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย จีน  หรือ อินเดีย  ฯลฯ  นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดปัญหาของแพงและปัญหาเงินเฟ้อตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และอาจถึงขั้นทำให้หลายบริษัทต้องลดการผลิต หรือ  SME อาจปิดกิจการไปเลยก็มี  ฯลฯ นักวิชาการบางคนบอกว่า ค่าแรงวันละร้อยกว่าบางแห่งก็อยู่ได้อย่างสบาย บ้างก็อ้างสถิติว่าทุนนอกจะหายไป 25 % ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินหายไปปีละนับแสนล้านบาท
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553 สำนักข่าวต่างประเทศหลาย ทั้ง บีบีซี.ของอังกฤษ ซีเอ็นเอ็น.ของสหรัฐฯ และเอเอฟพี.ของฝรั่งเศส ต่างประโคมข่าวสลดเรื่องการพบซากทารกจำนวนมากกว่า 2,000 ร่างในวัดแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ โดยระบุว่า เป็นคดีประหลาดที่มีการพบศพทารกจำนวนมากพร้อมกันในคราวเดียวครั้งแรกๆของโลก (http://news.mthai.com/general-news/94764.html)   โดยไม่ต้องตั้งคำถามเพิ่มเติมอีกเลยว่า แล้วจะมีศพทารกอีกกี่หมื่นกี่แสนรายที่ได้รับผลกระทบจากการทำแท้งอย่างลับๆ โดยที่ไม่มีการค้นพบหลักฐานโจ่งแจ้งเช่นนี้
ถามว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องน่าสลดใจในเมืองศูนย์กลางแห่งหนึ่งทางพุทธศาสนาเช่นนี้  นักวิชาการทางด้านสังคมอาจจะตอบว่า  เพราะกระแสวัฒนธรรมจากต่างประเทศไหลบ่าเข้ามา ทำให้วัยรุ่นไทยไม่ใส่ใจในความเป็นไทย  ไม่รักนวลสงวนตัว และคลั่งไคล้วัตถุนิยม ฯลฯ  ส่งผลให้มีการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรด้วยการทำแท้ง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอีกแง่มุมหนึ่งจะพบว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของการทำแท้งในหมู่วัยรุ่น วัยแรงงานจำนวนหนึ่ง  คือ ความไม่พร้อมในการมีครอบครัวและการขาดความสามารถในการเลี้ยงดูมารหัวขน(ทารกที่กำลังจะเกิดใหม่) เนื่องจากวัยรุ่นส่วนหนึ่งเป็นแรงงานที่มีค่าแรงต่ำเพียงวันละ 200 บาทเศษนั่นเอง
หากคู่รักมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อยคนละ 300 บาท x  2  คน รวมแล้ว ก็มีรายได้ประมาณ 12, 000 บาท ต่อเดือน คุณภาพชีวิตของพวกเขาก็คงจะดีขึ้น ซึ่งย่อมจะส่งผลให้คู่รักมีความพร้อมมากยิ่งขึ้นในการวางแผนครอบครัว ก่อนที่จะทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมและขาดศีลธรรมอันดี
หากบรรดานายทุน อาทิ ประธานเครือบริษัทสห.......ประธานสภาหอการ......นักวิชาการในกะลาและสื่อมวลชนบางค่าย อาทิ ฯลฯ หันไปมองอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศเพื่อนบ้านของเรา อาทิ มาเลเซียจะพบว่า แม้จะมีอัตราไล่เลี่ยกัน แต่มาเลเซียก็มีปัจจัยหนุนเรื่องราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าไทยทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพที่ดีกว่าแรงงานไทยมาก การอ้างว่า หากรัฐบาลมีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาทต่อวันจะทำให้ทุนนอกหนี ของแพงและเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่ในช่วงที่ผ่านมาพ่อค้าและนายทุนต่างก็สะสมความมั่งคั่งมานานนับร้อยปี พอลูกจ้างจะขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำบ้างกลับอ้างผลกระทบหลายอย่างทั้งที่จะเกิดกับกลุ่มทุนพวกเดียวกับตนและกลุ่มทุน(กระสือ)ต่างชาติที่เข้ามาสูบเลือด สูบกำไรจากเรือนร่างผ่ายผอมของคนงานไร้ฝีมือ และพยายามที่จะตรึงอัตราค่าแรงขั้นต่ำไว้ให้ขยับได้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นกำแพงแนวคิดที่เปรียบเสมือนการปิดหูปิดตาไม่รับรู้ถึงต้นตอปัญหาที่เกิดจากค่าแรงขั้นต่ำที่ทำให้คนงานไร้ฝีมือไม่สามารถสะสมทุนเพื่อพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของเขาได้อย่างเหมาะสม  เท่ากับว่าโดยทางอ้อมแล้ว พวกท่านที่ตีโพยตีพายขัดขวางการขึ้นค่าแรงด้วยสารพัดเหตุผลเหล่านั้น ล้วนมีส่วนสนับสนุนและส่งเสริมการฆ่า หรือ การทำแท้งเถื่อนให้มีอยู่ต่อไปในสังคมไทยโดยไม่ใส่ใจเหลียวแลเพื่อนร่วมชาติที่อุทิศแรงกายแรงใจรับใช้บริษัทของตน
หากรัฐบาลยืนกรานใช้นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ต่อวันจริงๆ อย่ากลัวเลยว่าทุนนอกจะหนีออกไปเวียดนาม ลาว  เขมร  จีน หรือ อินโดนีเซียตามคำขู่ของนักวิชาการที่ไม่เคยคิดนอกกรอบ  เพราะพวกเขาจะต้องไปลงทุนในการสร้างระบบสาธารณูปโภคใหม่อีกด้วยเม็ดเงินมหาศาล  และประการสำคัญที่สุด คือ ประเทศไทยได้เปรียบในเรื่องการเป็นที่ตั้งของเมืองศูนย์กลางทางการค้าและการท่องเที่ยวมานานนับพันๆปี  รถไฟความเร็วสูงจากจีนก็กำลังจะมาถึงกรุงเทพฯเพื่อแล่นผ่านไปสิงคโปร์ในอีกไม่กี่อึดใจ จึงไม่ต้องเกรงว่าทุนนอกจะแห่กันหนีไปแต่อย่างใด 
การที่มีการอ้างว่าผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท จะทำให้ต้องขึ้นค่าแรงให้แก่ลูกจ้างระดับกลางและระดับขึ้นไปอีกเป็นลูกระนาดก็ไม่ใช่ประเด็นปัญหาสำคัญ เพราะพรรคเพื่อไทยหาเสียงกับลูกจ้างระดับรากหญ้า คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่จึงมิใช่ชนชั้นกลางหรือผู้ดีมีความรู้ จึงไม่ใช่เรื่องที่ลูกจ้างอีกระดับหนึ่งจะพลอยเข้ามาผสมโรงสรวลเสเฮฮาขอขึ้นค่าแรง เพื่อกวนกระแสแบบตีปลาหน้าไซ จนไม่สามารถทำงานตามนโยบายตอบสนองความต้องการของคนงานระดับล่าง
มองสื่อและอนาคตประเทศไทยกับปราชญ์5คนของสยาม, Thai PBS (21.00น.7กค.54 )
-สุลักษณ์ ศิวรักษ์ สื่อแบบนายทุนฉายาเฒ่าสารพัดพิษ(มรว.คึกฤทธ์ ปราโมช)อายุครบ100ปี ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก
-รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม ประชาชนมาสื่อความคิดความเห็นความต้องการแบบประชาพิจารณ์/ ประชาประจาน แล้วสื่อแบบThai PBSก็นำไปขยายต่อ
ศ.ดร.ระพี สาคริก  สื่อควรอ่อนน้อม ไม่ก้าวร้าว ไม่ทำตัวเป็นกบในกะลาครอบ
ศ.ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง สื่อให้ความสำคัญกับนายทุนที่อุดหนุนโฆษณาละครน้ำเน่ามากเกินไป ควรเพิ่มสารคดีให้คนไปคิด ย่อมจะเกิดผลดีต่อสังคมมากกว่า อย่าหวังเพียงค่าโฆษณา

22 กค 54 Nation TV   จริยธรรมของสื่อกรณี News of  the World ของเจ้าพ่อสื่อ Rupert  Murdoch”
พิธีกร จอมขวัญ หลาวเพ็ชร  วิทยากรรับเชิญ วสันต์ ภัยหลีกลี้ และสุภิญญา กลางณรงค์
(กรณีการดักฟังโทรศัพท์ของเด็กหญิงที่ถูกจับเรียกค่าไถ่ ต่อมาเด็กถูกฆ่าตาย)
การขาดจริยธรรมของสื่อจะทำให้ สังคมกดดันด้วยการระงับโฆษณาจนต้องประกาศปิดตัวเอง  สังคมไทยตื่นตัวมากขึ้นเรื่องจริยธรรมของสื่อ รั้วของสังคมไทยมีหลายรูปแบบ หากสังคมมีความแตกแยกจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เคารพความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายอย่างไร เสรีภาพตรวจสอบนักการเมือง สื่อสิ่งพิมพ์ทำได้ดี แต่สื่ออินเตอร์เนตไม่ได้เพราะมีมากมาย
-คนข่าว แหล่งข่าว การหาข่าวของNews of the World ขัดจริยธรรมเพราะมีการดักฟังทางโทรศัพท์ เลยเป็นการทำลายตนเอง
-สื่อสิ่งพิมพ์ มีคณะกรรมการของสมาคมจริยธรรมหนังสือพิมพ์ควบคุมจริยธรรม
-สื่อวิทยุและโทรทัศน์ มีคณะกรรมการสมาคมผุ้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์ควบคุมจริยธรรม
-การคุยกับคนโดยแอบถ่ายขณะที่เขาไม่รู้ตัว ไม่ควรทำ ยกเว้นการหาหลักฐานเปิดโปง โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะมากที่สุด
จอมขวัญ หลาวเพ็ชร : ถึงเวลาแล้วยังที่สื่อจะเลือกข้าง
วสันต์  ภัยหลีกลี้ : สื่อที่อังกฤษเลือกข้างชัดเจน ในไทยอาจเลือกข้างได้ แต่ไม่ใช่ทำแบบอีแอบ
สุภิญญา กลางณรงค์ : เดิมสื่อไทยกระมิดกระเมี้ยน ตอนนี้ก้าวกระโดด เลือกข้างชัดเจน แต่สื่อก็ควรกำหนดจริยธรรม อย่าใช้เสรีภาพคุกคามผู้อื่น  บทบรรณาธิการควรมีความเป็นกลาง ไม่ใส่ร้ายป้ายสี ไม่พูดข้างเดียว ไม่ล้ำเส้น แต่มิได้หมายความว่าเลือกข้างไม่ได้

(ประวัติการเลือกข้างพรรคการเมืองของสื่ออาจจะเริ่มตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาถึงยุคสยามรัฐของคึกฤทธิ์ บ้านเมืองของบรรหาร การซื้อหุ้นมติชนของบรรหาร แนวหน้าของนต.ประสงค์ สุ่นศิริ  โพสต์ ทูเดย์ของเครือเซ็นทรัล TNN24ของเครือ CP)