จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การคมนาคมขนส่งกับการท่องเที่ยว

ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ

การขนส่งทางอากาศเกิดขึ้นมาจากการคิดผันของมนุษย์เราที่ต้องการจะบินไปไหนมาไหนได้เหมือนนก และเกิดจากการที่มนุษย์เรารู้จักการเล่นว่าว จึงพยายามคิดที่จะทำให้ความผันเป็นความจริงขึ้นมาให้ได้ โดยในปี ค.ศ. 1903 พี่น้องตระกูลไรท์ ชาวอเมริกัน ได้ประสบผลสำเร็จในการสร้างอากาศยานที่สามารถบรรทุกคนและบินได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคเริ่มรกของการขนส่งทาง อากาศต่อมาได้มีการพัฒนาทางด้านวิชาการและความเจริญด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างมาก โดยเฉพาะศาสตร์ที่เกี่ยวกับการบินจึงทำให้การขนส่งทางอากาศมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 การขนส่งทางอากาศได้มีบทบาทอย่างมาก และมีผลทำให้กิจการขนส่งทางอากาศมีความเจริญและขยายตัวอย่างกว้างขวางเมื่อสงครามสงบลง การขนส่งที่ใช้ในการทำศึกสงครามก็ถูกดัดแปลงมาใช้ในกิจการของพลเมือง และได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จึงมีการสร้างเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีความเร็วสูงขึ้น มีเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ มากขึ้น เช่น เครื่องบิน DC-3, DC-10, Boeing 737, Boeing 767, Concorde (Super Sonic) และ Air Bus

การขนส่งทางอากาศในประเทศไทย

สำหรับการขนส่งทางอากาศในประเทศไทยเรานั้น เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 โดยพลโทพระยาเฉลิมอากาศได้ดำเนินการจัดตั้งกองบินขึ้นอยู่ในสังกัดทหารบก ต่อมา พ.ศ. 2461 โดยยกฐานขึ้นเป็นกรมอากาศยานทหารบก และในปี พ.ศ. 2462 ได้เกิดการบินพลเรือนขึ้นโดยใช้การขนส่งทางอากาศขนส่งไปรษณียภัณฑ์ นับเป็นครั้งแรกที่เป็นประโยชน์สำหรับการขนส่งพลเรือนโดยทำการขนส่งไปรษณียภัณฑ์จากกรุงเทพไปจันทบุรี สำหรับการบินขนส่งผู้โดยสารนั้นได้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2474 อย่างเป็นทางการโดยจัดตั้งเป็นบริษัทเดินอากาศจำกัด ทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารและสินค้า ต่อมา พ.ศ. 2482 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทขนส่งจำกัด โดยรวมเอาการขนส่งทางบกและทางอากาศเข้าไว้ด้วยกันจนในที่สุด พ.ศ. 2494 จึงกลับมาใช้ชื่อบริษัทเดินอากาศไทยจำกันจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีบริษัทที่เกี่ยวข้องในเรื่องการบินอีกหลายบริษัท เช่น บริษัทการบินไทย จำกัด (ดำเนินการเดินอากาศระหว่างประเทศ) บริษัทการบินแอร์สยามจำกัด (ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว) บริษัทกรุงเทพสหกลจำกัดบริษัทพีระแอร์ทรานสปอร์ตจำกัด บริษัทแอร์เซอร์วิสจำกัด และบริษัท ฟ้าสยามจำกัด เป็นต้น


เครื่องบินโดยสาร

เครื่องบินโดยสารมีตั้งแต่เครื่องยนต์ที่นั่งเดียวสำหรับบินระยะสั้น ๆ จนถึงเครื่องบินโดยสารที่หรูหราบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 400 คน บางลำใช้เครื่องยนต์เบนซินเหมือนกับรถยนต์แต่เครื่องบินส่วนมากในปัจจุบันใช้เครื่องไอพ่น นอกจากนี้ยังมีที่ใช้เครื่องจรวด ในอนาคตอาจใช้พลังนิวเคลียร์แทนได้
เครื่องบินได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการขนส่ง ผู้โดยสารสามารถเดินทางภายในไม่กี่ชั่งโมงหรือไม่กี่วันสำหรับระยะทางที่เคยใช้เวลาเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน นอกจากเครื่องบินแบบไอพ่นและแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเครื่องบินอีกหลายประเภทได้แก่
เครื่องบินแบบใบพัด สามารถขึ้นและลงบนลานวิ่งที่สั้นกว่าเครื่องบินไอพ่นเครื่องบินโดยสารใบพัดขนาดกลางยังคงเป็นที่นิยมกันในการบินระยะใกล้ ๆ
เครื่องบินแบบเอสทีโอแอล เป็นเครื่องบินที่ออกแบบใช้ในเมืองใหญ่ ๆ และในเขตที่ยากต่อการสร้างลานวิ่งยาว ๆ เครื่องบินชนิดนี้เรียกเต็มว่า Short Take-off and Landing (STOL)
สามารถบินขึ้นและลงบนทางที่แคบและเล็กมากได้
เครื่องบินชนิดพิเศษ สร้างขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะ เช่น เครื่องบินทะเล สร้างขึ้นเพื่อขึ้นและลงบนผิวน้ำได้มี 3 ชนิด คือ
( ก ) โพลทเพลน มีทุ่นสองอันแทนล้อ
( ข ) ฟลายอิ้งโบ๊ต มีลำตัวเหมือนเรือและกันน้ำได้ ทำให้ลอยในน้ำเหมือนเรือ
( ค ) แอมฟีเปียน ใช้ได้ทั้งในน้ำและบนบก

เครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศที่นิยมใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน ผลิตโดยสามบริษัทใหญ่ คือ
บริษัทโบอิ้งสหรัฐอเมริกา ผลิตเครื่องบินแบบ B 747 (จัมโบ้) บินระยะทางไกลๆ บรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 400 คน B 737 บินระยะทางปานกลาง บรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 120 คน B 707 บินระยะทางไกลๆ บรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 200 คน เป็นต้น
บริษัทดักลาส-แมคดอนเนล สหรัฐอเมริกา ผลิตเครื่องบินแบบแบบ DC 10 บินระยะทางไกลบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 300 คน DC 8 บินระยะไกล บรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 200 คน เป็นต้น
บริษัทแอร์บัสดิดัสตรี้ จำกัด (ยุโรป) ผลิตเครื่องบินแบบแอร์บัส บินระยะปานกลางประหยัดเชื้อเพลิงมาก บรรทุกผู้โดยสารประมาณ 240 คน
สนามบิน อาจจำแนกออกไปเป็น สนามบินพลเรือน หรือสนามบิน พาณิชย์โดยทั่วไปมักจะถือว่าสนามบินเป็น infrastructure ประเภทหนึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องจัดสร้างและอำนวยความสะดวกต่างๆ นอกจากนั้นสนามบินยังอาจจำแนกออกได้เป็น สนามบินภายในประเทศและสนามบินระหว่างประเทศอีกด้วย
สนามบินฮีธโรว์ในกรุงลอนดอนจัดได้ว่าเป็นสนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศขึ้นลงมากที่สุด คือ เกินกว่า 2 แสนเที่ยวบิน และมีผู้โดยสารระหว่างประเทศขึ้นลงเกินกว่า 17 ล้านคน ในต่ละปีคนทำงานประจำมากกว่า 5 หมื่นคน
สนามบินใหญ่ๆ โดยทั่วไปจะมีท่าอากาศยานหรือที่พักโดยสาร ซึ่งเป็นบริเวณภายในสนามบิน เพื่อตรวจสอบผู้โดยสารและสินค้า และยังมีร้านขายอาหารว่าง ภัตตาคาร และบริการอื่นๆ เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ยังมีที่ทำงานของผู้ทำงานในสนามบิน ห้องน้ำ และห้องสำหรับพนักงานบนเครื่องบิน ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับเส้นทางบิน โรงเก็บเครื่องบนและห้องปฎิบัติการ และหอบังคับการซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการบิน ผู้ควบคุม การจราจรทางอากาศคอยแนะนำและคอยควบคุมเครื่องบินทั้งขณะอยู่ในอากาศและในพื้นดิน
ชนิดของบริการขนส่งทางอากาศ
การขนส่งทางอากาศ อาจแยกการขนส่งออกได้เป็น 2 รูปบบ คือการขนส่งในประเทศและการขนส่งระหว่างประเทศ หรืออาจจำแนกอกเป็น การขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า นอกจากนั้นยังอาจจำแนกออกตามลักษณะของการอนุญาติ ดังนี้
1. สายการบินหลัก
2. สายการบินท้องถิ่น
3. สายการบินรับขนเฉพาะสินค้า
4. สายการบินไม่ประจำ ปรเภทแท็กซี่ทางอากาศและเช่าเหมา
5. สายการบินบริการเฮลิคอปเตอร์
(1.)สายการบินหลัก ในสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นผู้ขนส่งทางอากาศที่ได้รับมอบอำนาจโดยออกใบรับรองเพื่อความสะดวกและความจำเป็นของสาธารณชนให้จัดบริการอย่างประจำ มีกำหนดที่มีลักษณะเป็นการขนส่งด่วน และในระยะทางไกลๆ
(2.) สายการบินท้องถิ่น ผู้ขนส่งประเภทนี้ปฎิบัติการตามเส้นทางที่มีความหนาแน่นของปรชากรน้อยว่าในสายการบนหลักระหว่างชุมชนของเมืองที่มีประชากรน้อยกว่าในรณีของสายการบินหลัก ในหลักการสายการบินประเภทนี้จะให้ระยะทางใกล้ๆ ในสหรัฐอเมริกามีผู้ปรกอบการประเภทนี้อยู่ 9 รายในปัจจุบันซึ่งให้บริการทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า
(3.) สารการบินรับขนเฉพาะสินค้า ผู้ขนส่งประเภทนี้ปฏิบัติการรับเฉพาะสินค้าอาจเป็นในลักษณะประจำ มีกำหนดเวลาบินแน่นอน เส้นทางแน่นอน หรือในลักษณะไม่ประจำไม่มีกำหนดก็ได้ แต่การประกอบการลักษณะนี้มักจะไม่เหมาะสมกับเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศเพราะจีปัญหาในการขนส่งเที่ยวกลับจะไม่มีสินค้าเพียงพอที่จะคุ้มกับต้นทุนการบิน
(4.) สายการบินไม่ประจำประเภทแท็กซี่ทางอากาศและเช่าเหมา ผู้ขนส่งประเภทนี้ปฏิบัติการรับขนทั้งผู้โดยสารและสินค้าในลักษณะไม่ประจำ อาจแยกได้เป็นแบบเช่าเหมาลำ และแบบแท็กซี่ทางอากาศ โดยทั่วไปแบบแท็กซี่ทางอากาศมักจะถูกกำหนดไว้ว่า ต้องเป็นเครื่องบินขนาดเล็กมีน้ำหนักรวมสูงสุดเมื่อบินขึ้นไม่เกิน 5,700 กิโลกรัม
(5.) สายการบินบริการเฮลิคอปเตอร์ ผู้ขนส่งประเภทนี้ดำเนินการขนส่งเฉพาะด้วยเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น มักจะให้บริการรับส่งคนไข้ฉุกเฉินเพื่อมนุษยธรรมต่าง ๆ หรือเพื่อกิจการพิเศษ เช่น เพื่อการสำรวจขุดเจาะน้ำมัน สำรวจก๊าซ เป็นต้น

ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของการขนส่งทางอากาศ

การขนส่งทางอากาศก็มีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ เช่นเดียวกับการขนส่งประเภทอื่น ๆ โดยพิจารณาไว้ว่า
ข้อได้เปรียบ การขนส่งทางอากาศก็มีข้อได้เปรียบหรือข้อดีดังนี้
1. มีความเร็วสูง รวดเร็ว สามารถให้บริการนักธุรกิจ และนักเดินทางท่องเที่ยวทั่วไป และแม้แต่สินค้าที่เน่าเสียง่าย ก็จะถูกนำไปสู่ตลาดในสภาพที่สดใหม่เสมอ
2. ประหยัดเวลาในการเดินทาง
3. สามารถไปในบริเวณที่การขนส่งชนิดอื่นไปไม่ถึงหรือไปได้ลำบาก หากปราศจากการขนส่งทางอากาศแล้ว ท้องถิ่นทุรกันดารจะยากต่อการคมนาคมติดต่อ ยากที่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะเข้ามาสู่ท้องถิ่นนั้นก็ได้
4. มีความตรงต่อเวลาและมีกำหนดเวลาที่แน่นอน
ข้อเสียเปรียบ การขนส่งทางอากาศมีข้อเสียเปรียบดังต่อไปนี้
1. การลงทุนสูง ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาก
2. อัตราค่าบริการสูง ค่าใช้จ่ายมีมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งประเภทอื่นๆ ต้องใช้ต้นทุนการประกอบสูงมากทั้งตันทุนแปรผันและต้นทุนคงที่ ต้องอาศัยผู้ชำนาญการในด้านต่าง ๆ อุปกรณ์เทคโนโลยีหน่วยสนับสนุนภาคพื้นดิน เครื่องช่วยในการเดินอากาศที่ก้าวหน้าลงทุนสูงต้องมีการบำรุงรักษาที่ดีเยี่ยมเสมอ
3. ต้องใช้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและความชำนาญมาก
4. มีความเสี่ยงสูงมาก ความปลอดภัยน้อยกว่าการขนส่งประเภทอื่น ๆ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นเมื่อใดแล้ว จะก่อให้เกิดความสูญเสียที่มหันต์ต่อทั้งบุคคลบนเครื่องบิน ทรัพย์สิน และบุคคลบนพื้นดินอีกด้วย
5. การบินขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ จึงต้องมีหน่วยงานจัดตั้งขึ้นเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ เช่น อุตุนิยมวิทยาในการเดินอากาศ เป็นต้น เพราะในสภาวะพายุ ฝนตกหนักย่อมทำให้การควบคุมอากาศยานเป็นไปได้ยากและเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

ธุรกิจเรือสำราญ ( Cruise Ships )

บริษัทเดินเรือสมุทรหรูหราที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ พัฒนามาจากเรือสำราญ ( Cruise Ship) ธุรกิจเรือสำราญนับเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วมากในบรรดาธุรกิจการท่องเที่ยวด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวทึ่เดินทางท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญปีละประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มาก ความสำเร็จของธุรกิจเรือสำราญดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากการรวมตัวของบริษัทขนส่งทางเรือต่าง ๆ ร่วมกับบริษัทธุรกิจการบิน นำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลแก่ทั้งสองฝ่ายด้วย ธุรกิจท่องเที่ยวแนวใหม่ “บิน-ไป-ล่องเรือ” (FLY-CRUISE CONCEPT) คาดกันว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจเรือสำราญในปัจจุบันนี้เป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบ บิน-ไป – ล่องเรือ ดังกล่าวแล้ว
ธุรกิจการท่องเที่ยวแบบ บิน-ไป-ล่องเรือ สามารถเสนอรายการท่องเที่ยว รวมทั้งโปรแกรมในราคาที่ค่อนข้างประหยัด และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่จะเลือกรายการท่องเที่ยวดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวสามารถใช้ตั๋วเรือสำราญกับเครื่องบินเพื่อที่จะบินไปยังท่าเรือตามจุดต่าง ๆ ที่เรือสำราญจอดแวะรับผู้โดยสารในราคาเครื่องบินลดพิเศษซึ่งถูกมาก บริษัทเดินเรือสำราญจะเป็นผู้กำหนดประเภทของเครื่องบินที่จะใช้ขนส่งผู้โดยสารลงเรือ รวมทั้งเป็นผู้กำหนดเที่ยวบินด้วยระดับดังกล่าวนี้จึงสามารถขออนุญาติให้ผู้โดยสารสามารถลงเรือ รวมทั้งเป็นผู้กำหนดเที่ยวบินด้วยระดับดังกล่าวนี้จึงสามารถอนุญาติให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางไปถึงท่าเรือได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และในทำนองเดียวกันก็สามารถเดนทางกลับบ้านได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องบินเมื่อสิ้นสุดรายการล่องเรือสำราญแล้ว
เรือสำราญต่าง ๆ ที่วิ่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคหรือมหาสมุทรแปซิฟิกในปัจจุบันนี้เปิดบริการแก่นักท่องเที่ยวเพียงชั้นเดียวคือการโดยสารเฉพาะชั้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามราคาค่าบริการก็ยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องพักในเรือเป็นสำคัญ ในปัจจุบันนี้ค่าเรือสำราญโดยเฉลี่ยต่อคนต่อวันประมาณ 200 เหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 5,000 เหรียญเศษซึ่งก็นับว่าค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบกับค่าใช้จ่ายวันต่อคนสำหรับค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าโรงแรมค่าอาหารทุกมื้อ และค่าบันเทิงต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยวตามปรกติ




ตลาดการท่องเที่ยวของเรือสำราญ ( Cruise Markets)
นอกเหนือจากการลดราคาให้ต่ำลงและเสนอโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบ บิน-ไป-ล่องเรือแล้วบริษัทธุรกิจเดินเรือสำราญหลายบริษัทยังได้เสนอโปรแกรมการเดินเรือระหว่างประเทศ ( THE CRUISE LINES INTERNATIONAL ASSOCIATION) ได้ระบุว่าชาวอเมริกันประมาณ 35 ล้านคน มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของบริษัทธุรกิจเดินเรือสำราญประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมดไม่เคยมีประสบการณ์ ในการท่องเที่ยว โดยเรือสำราญมาก่อนและประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเรือสำราญไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวทางทะเล
สำหรับการท่องเที่ยวชาวอเมริกันจุดหมายปลายทางการล่องเรือสำราญก็คือ หมู่เกาะแคริบเบียน (Caribbean Island) และเมืองท่าในแม็กซิโก (Maxican Ports)หรือไม่ก็เป็นประเทศปานามาหรือการล่องเรือเลียบชายฝั่งตะวันตกเฉียงของชายฝั่งแปซิฟิก ไปยังอลาสก้าในช่วงฤดูร้อนแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือสำราญตามเส้นทางประวัติศาสตร์การบุกเบิกอเมริกาสำหรับในทวีปยุโรปนั้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเป้าหมายการล่องเรือที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากนักท่องเที่ยวทางทะเลในเอเซียตะวันออกและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจเรือสำราญกำลังขยายตัวและได้รับความนิยมจากนกท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสวยงามของทะเลและเมืองท่าสำคัญๆ ในประเทศต่างๆแถบนี้เป็นจุดดึงดูดสำคัญ
อนึ่งในด้านการตลาดนี้บริษัทเดินเรือสำราญพบว่ายังมีปัจจัยที่สำคัญอยู่ 3 ประการทีจะพิจารณาหาตลาดที่ดี นั่นคือบริษัทจะต้องตระหนักถึง

จำนวนเงินงบประมาณที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนจะใช้จ่ายในการล่องเรือสำราญ
จำนวนเวลาโดยประมาณที่นักท่องเที่ยวจะใช้ในการล่องเรือสำราญ
จุดหมายปลายทางการเดินทางท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องการจะไป

นอกเหนือจากการพิจารณาหาลูกค้าจากตลาดตามฤดูกาลการท่องเที่ยวแล้วบริษัทเดินเรือสำราญจะต้องพิจารณาจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวนอกฤดูกาลท่องเที่ยวด้วยการดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงที่การท่องเที่ยวซบเซาก็เป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญในธุรกิจเรือ สำราญเพราะมีรายได้หรือลูกค้าตลอดปี ย่อมดีกว่าการมีลูกค้าเฉพาะฤดูการท่องเที่ยวจำนวนมากแต่เพียงอย่างเดียว

ราคาที่เสนอขายแก่ลูกค้านอกฤดูการท่องเที่ยวปกติจะต่ำกว่าราคาที่เสนอขายในช่วงฤดูการท่องเที่ยวแต่บริษัทเรือสำราฐจะต้องเพิ่มค่านายหน้า ( Commission ) ให้แก่บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว ( Travel Agent ) สูงกว่าในฤดูการขายปกติตามฤดูการท่องเที่ยว ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวพยายามหาวิธีการจำหน่ายตั๋วเดินทางท่องเที่ยวโดยผ่านบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว

การเดินทางทางน้ำรูปแบบอื่นๆ ( Other Types Of Water Travel )

ในปัจจุบันนอกเหนือจากบริษัทเดินเรือสำราญขนาดใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางโดยพาหนะอื่นๆ ได้อีกหลายประเภท เช่น

การเดินทางโดยเรือบรรทุกสินค้า ( Freighter Travel ) นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่รักความตื่นเต้นในการเดินทางท่องเที่ยว การเดินทางไปกับเรือบรรทุกสินค้าจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดประการหนึ่งสำหรับผู้ชอบความตื่นเต้นของชีวิต ตามปกติเรือบรรทุกสินค้าจะบรรทุกสินค้าจะบรรทุกผู้โดยสารนอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ประจำเรือได้ไม่เกิน 12 คน เรือบรรทุกสินค้าจะต้องมีแพทย์ 1 คน ไปกับเรือด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้แก่บริษัทเดินเรือเพิ่มขึ้น

การเดินทางโดยยายโฮเวอร์คร้าฟ ( Hovercraft ) ยานโฮวอร์คร้าฟเป็นพาหนะเดินทางทางน้ำซึ่งเคลื่อนตัวบนผิวน้ำด้วยความเร็วสูงและแรงดันลมจากใบพัดภายในตัวยาน ปัจจุบันยานโฮเวอร์คร้าฟได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการข้ามช่องแคบที่มีความกว้างไม่มากนัก เช่น ช่องแคบอังกฤษระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ยานโฮเวอร์คร้าฟได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการบรรทุกได้ค่อนข้างมาก เช่น สามารถบรรทุกรถยนต์ได้หลายสิบคันพร้อมๆ กับการบรรทุกผู้โดยสารได้นับร้อยคนในเวลาเดียวกันความเร็วสูงสุดในการเดินทางของยานโฮเวอร์คร้าฟปัจจุบันนี้ ประมาณ 70 ไมล์ต่อชั่วโมงบนผิวน้ำ ซึ่งมีความเร็วสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเรือเฟอร์รี่โดยทั่ว ๆไป

การเดินทางโดยเรือไฮโดรฟอยส์ ( Hydrofoils ) บางครั้งผู้โดยสารมักนิยมเรียกว่าเรือที่บินได้ ( Flying Ships) เรือไฮโดรฟอยส์มีลักษณะการทำงานโดยอาศัยหลักการเกี่ยวกับยานโฮเวอร์คร้าฟ กล่าวคือจะใช้กำลังดันของอากาศเพื่อยกตัวเรือให้ลอยอยู่เหนือพื้นผิวน้ำเวลาเรือจะไม่แตะกับผิวน้ำ ช่วยลดความเสียดสีและความสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี

เรือไฮโดรฟอยส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ เรือไฮโดรฟอยส์ท่องเที่ยวในแม่น้ำดานูบ ( Daube River ) ซึ่งวิ่งขึ้นลงระหว่างกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรเลียกับกรุงบูดาเปส ( Budapest ) ในประเทศฮังการี เรือไฮโดฟอยส์จะวิ่งได้ดีในพื้นน้ำที่เรียบหรือค่อนข้างสงบ เช่น ในแม่น้ำลำคลอง เป็นต้น แต่ในทะเลที่ค่อนข้างสงบ มีระบบป้องกันคลื่นลมได้ดี เรือชนิดนี้ก็สามารถวิ่งรับพานักท่องเที่ยวเดินทางไปมัลโม ( Malmo ) ในสวีเดน หรือระหว่างเมืองเนเปิลส์ ( Naples ) กับเกาะคาปรี ( Capri ) ในอิตาลี

การเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวตามแม่น้ำลำคลอง ( River Boat Travel ) แม่น้ำลำคลองได้ถูกใช้เส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเวลาช้านานแล้ว แม่น้ำลำคลองถูกใช้เพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารนับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วในอดีต

การท่องเที่ยวทางรถยนต์

ในประเทศที่พัฒนาแล้วประมาณ 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดนิยมการเดินทางโดยรถยนต์ (Automobile) รถยนต์คันแรกได้ถูกสร้างขึ้นในประเทศเยอรมันในปี คศ.1855 โดยบริษัทแดมเลอร์-เบนซ์ (Daimler-Benz) ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเป็นบริษัทรถยนต์ชั้นของของโลกคือ เมอร์เซเดส เบนซ์(Mercedes Benz) ฝรั่งเศสเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้เป็นผุ้บุกเบิกในการ พัฒนารถยนต์ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ เรายังคงใช้รถยนต์ที่สร้างในประเทศฝรั่งเศสหลายยี่ห้อ คำภาษา ฝรั่งเศส ที่เกี่ยวกับรถยนต์ก็ยังมีใช้กันอยู่ทั่วไป เช่น คำว่า การาจ(Garage) แซสซีส์ (Chdssis) และโชเฟอร์ (Chauffeur) เป็นต้น รถยนต์ได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นสินค้าในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นของปี ค.ศ. 1898 และต่อจากนั้นรถยนต์ก็ได้รับความนิยมอย่าง กว้างขวางจากประชาชน ความนิยมของประชาชนต่อ รถยนต์ค่อยๆ ขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ๆ หลายประเทศได้หันมาผลิตรถยนต์เป็นสินค้าออกขนาดใหญ่ เช่น อิตาลี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นต้น ปัจจุบันรถยนต์ได้กลายเป็นพาหนะที่ใช้กันมากที่สุดจนในบางประเทศรัฐบาลสร้างถนนให้เพียงพอกับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขกันต่อไป

ระบบทางหลวงแผ่นดิน ( Highway Systems )

ปัจจุบันนี้ระบบถนนหลวงระหว่างมลรัฐในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประวัติการเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 สามารถเชื่องโยงเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่มีพลเมืองอาศัยอยู่หนาแน่นเกิน 50,000 คนขึ้นไปกว่า 90
เปอร์เซ็นต์ ในแคนาดา เส้นทางหลวงสายทรานส์ – แคนาดา ( Trans Canada Highway ) ที่เชื่อมระหว่างเมืองเซนต์จอห์น ( St. John ) ในนิวฟาวด์แลนด์ ( Newfoundland ) ในภาคตะวันออกติดกับเมืองวิกตอเรีย ( Victoria ) ในบริติชโคลัมเบีย ( British Columbia ) ในภาคตะวันตกของแคนาดาซึ่งทางหลวงสายนี้มีระยะทางถึง 5,000 ไมล์

ในเยอรมันทางหลวงหลายสาย “German Aurobahns” ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา มีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ในยุโรปสร้างถนนหลวงคล้ายคลึงกับเยอรมันขึ้นมากมาย ดังนั้นการเดินทางไกลโดยรถยนต์ข้ามประเทศต่างๆ ในยุโรป จึงทำได้ง่ายได้และสะดวกในยุคปัจจุบันเช่นเดียวกันกับการเดินทางโดยรถยนต์ในทวีปอเมริกาเหนือ

ในทวีปเอเซีย ถนนหลวงสายเอเซียที่เชื่อมประเทศต่างๆ ในเอเชียเข้ากับทวีปยุโรปนั้นปัจจุบันเริ่มมีการปรับปรุงสภาพถนนและความปลอดภัยในบางประเทศให้มีขึ้นเพื่อรองรับนักขับรถยนต์ที่ต้องการใช้ถนนสายนี้เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวซึ่งนับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ
รถยนต์และถนนหลวงจึงเป็นสิ่งที่มีความเจริญและพัฒนาคู่ขนานมาโดยตลอด ประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ความนิยมต่อการใช้รถยนต์ในฐานะที่เป็นพาหนะในการเดินทางที่คล่องตัวและประหยัดที่สุด การเดินทางโดยรถยนต์ได้เจริญขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้ เพิ่งได้รับผลกระทบบ้างในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันโลกในทศวรรษของปี ค.ศ. 1970 เท่านั้น ที่ทำให้การเดินทางโดยรถยนต์ชะลอไปชั่วขณะหนึ่งแต่ในที่สุดกลับมาสู่ความนิยมในช่วงเวลาเดิมอีกในเวลาต่อมา

ข้อได้เปรียบของการเดินทางโดยรถยนต์ ( Advantages of Auto Travel )

รถยนต์ช่วยนักเดินทางได้รับประโยชน์และได้เปรียบมากกว่าการใช้พาหนะอื่น ๆ เพื่อการเดินหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรถบัสโดยสารรถไฟเรือสมุทรและปัจจุบันนี้เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นคือ การเดินทางอากาศ เพราะวาพาหนะการเดินทางเหล่านี้ค่อนข้างจะมีข้อจำกัดในเรื่องเวลาการเดินทางตั้งแต่จุดเริ่มต้นถึงจุดหลายทาง รวมทั้งความยืดหยุ่นในตารางการเดินทาง ซึ่งสามารถเปิดโอกาสจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ ๆ ได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อผู้เดินทางท่องเที่ยวโดยทางรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

นอกจากนี้ขับขี่รถยนต์ยังสามารถควบรุมเวลาที่จะออกเดินทางเวลาที่จะไปถึงจุดหมายปลายทงถนนสายต่างๆ ที่เลือกใช้ในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางและจุดหยุดพักในระหว่างทางกระเป๋าหรือสำภาระที่ง่ายต่อ การนำไปกับรถยนต์สำหรับการเดินทางที่ต้องการประหยัดรายจ่ายรถยนต์ก็สามารถส่งผู้เดินทางได้จำนวนมากว่าโดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญมากกว่านี้คือรถยนต์จะรอให้การบริการอยู่ตามจุดเดินทางต่างๆ ที่นักเดินทางท่องเที่ยวเดินทางมาถึง เพื่อสามารถที่จะให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่จะจัดแผนการเดินทางในระหว่างการท่องเที่ยวพักผ่อนของเขาเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่รถยนต์มีคุณลักษณะพิเศษในการยืดหยุ่นสูงจึงได้ความนิยมและเข้ามาแทนที่พาหนะเดินทางประเภทอื่นๆ เกือบทั้งหมดในปัจจุบันนี้

ในแง่ค่าใช้จ่าย ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่าค่าใช้จ่ายต่อคนต่อการเดินทางในแต่ละเที่ยวย่อมจะลดลงมากเมื่อมีผู้โดยสารมากขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ถูกลงนี้จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อครอบครัวเดินทางท่องเที่ยวเป็นระยะทางตั้งแต่ 1,000 ไมล์ขึ้นไป แต่ถ้าเกิน 1,000 ไมล์ขึ้นไป การเดินทางโดยเครื่องบินดูจะดึงดูดนักเดินทางท่องเที่ยวได้ดีกว่าแม้เป็นการเดินทางของครอบครัวก็ตาม ทั้งนี้เพราะค่าอาหาร เครื่องดื่มและค่าที่พักระหว่างเดินทางตามถนนหลวงค่อนข้างสูงมากในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าโดยสารเครื่องบิน

ผลกระทบของทางหลวงสายใหม่ๆ ( Impact of New Higway )

ทางหลวงสายใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดีในปัจจุบันนี้มีผลกระทบต่อเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เป็นอย่างมาก เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้มีผลประโยชน์อย่างมากจากนักเดินทางที่ใช้รถยนต์เป็นพาหนะในจุดใดจุดหนึ่งของเวลา ตัวอย่างเช่น เมืองที่อยู่บนถนนหลวงที่มีผู้คนหนาแน่นในขณะที่ถนนสายนั้นยังไม่มีสภาพถนนที่ดีเท่าปัจจุบันก็จะเป็นจุดพักรถหรือพักการเดินทางได้เต็มที่ตามข้อกำหนดของจราจรเมืองๆ นั้นอาจเป็นแค่ทางผ่านของนักขับยนต์ และในที่สุดก็อาจลดความสำคัญลงเพราะไม่ได้เป็นจุดพักรถของนักเดินทางโดยรถยนต์อีกต่อไปแล้ว

ถนนหลวงที่ดีช่วยประหยัดเงิน ทั้งนี้เพราะถนนไม่มีนั้นจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันค่าบำรุงักษารถอีกมากมาย บริษัทธุรกิจการท่องเที่ยวเช่นกันมีความสนใจที่จะใช้เส้นทางหรือถนนหลวงที่ดีมีการบำรุงรักษาอย่างดีมากกว่าการเลือกใช้ถนนที่มีสภาพแย่หรือไม่เหมาะต่อการขับรถเดินทาง

เส้นทางผ่านเมืองใหญ่ (Bypass) ที่ช่วยเร่งความรวดเร็วและประหยัดเวลาในการเดินทางก็เป็นสิ่งสำคัญต่อนักเดินทางท่องเที่ยวโดยรถยนต์ การประหยัดเวลาเป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับนักขับรถเดินทางไกลทั้งหลาย ทางหลวงสายใหม่ๆ ยังช่วยลดความคับคั่งภายในเมือง ซึ่งนักเดินทางในอดีตไม่สามารถหาทางเลือกอื่นได้ต้องขับรถผ่านเข้าไปในตัวเมืองที่มีการจรจรติดขัดหรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือธุรกิจต่างๆ ในอดีตที่ไม่ได้รับประโยชน์จากระบบถนนแบบเก่าก็จะต้องประสบปัญหาความอยู่รอดของธุรกิจเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการของตนอีกเลย อันเป็นผลเนื่องมาจากถนนใหม่ๆ ที่ถูกสร้างมาแทนที่ แต่อย่างไรก็ตาม ถนนหลวงสายใหม่ ๆ เกิดขึ้นตามถนนแถวนั้นๆ ด้วยเช่น จุดพักรถแห่งใหม่สำหรับนักเดินทางรถยนต์ และก่อให้เกิดการเปิดธุรกิจต่อเนื่องใหม่ๆ เช่น โมเต็ล (Motels) ภัตตาคาร (Restaurants) และแหล่งท่องเที่ยว ( Attractions ) ใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทางรถยนต์






รถยนต์สำราญหรือบ้านรถยนต์ (Recreational Vehicles)

รถยนต์สำราญหรือบ้านรถยนต์ (Motor Home) นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใหม่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้ เหนุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือรถยนต์สำราญหรือบ้านรถยนต์ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแก่ครอบครัวที่เลือกพาหนะชนิดนี้ในการเดินทางท่องเที่ยว ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการบริการตัวเอง นั่นก็คือนักท่องเที่ยวจะช่วยเหลือตัวเองในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว เช่น เตรียมอาหารรับประทานเองพักค้างคืนในรถยนต์สำราญหรือบ้านรถยนต์ ปกตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเป็นครอบครัว ซึ่งใช้พาหนะดังกล่าวเหล่านั้นเป็นการเดินเพื่อกักผ่อนส่วนหนึ่งด้วยเพราะการเดินทางและกิจกรรมโดยรถยนต์สำราญ ช่วยให้เกิดความรู้สึกพักผ่อน ผ่อนคลายกับชีวิตปกติประจำวันที่บ้านและทีทำงาน ช่วยให้มีความรู้สึกว่าออกมาจากความซ้ำซากจำเจของชีวิตอย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างการพักผ่อนนั้นๆ

ปัจจุบันความเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวโดยรถยนต์สำราญหรือบ้านรถยนต์ในสรัฐอเมริกาและแคนาดาได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นให้ความต้องการสถานที่จอดรถตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆมากขึ้น หรือแม้แต่การจอดถักรถในระหว่างเส้นทางที่พักริมทาง (Rest Area) ก็จำเป็นต้องจัดเตรียมบริการต่างๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา และที่เก็บขยะที่สามารถต่อเข้ากับรถสำราญได้พอดี เพื่อเป็นการบริการที่รัฐหรือเอกชนอาจจัดไว้บริการแก่นักเดินทางท่องเที่ยวดังกล่าวนี้ ธุรกิจจัดลานรถยนต์สำราญพร้อมบริการอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกาหน่วยงานที่เรียกว่า ลานจอดรถสำราญแห่งอเมริกาเหนือ(Kampqrounds of America KOA) เป็นธุรกิจเครือข่ายดำเนินการอยู่ทั่วประเทศ

รถโดยสารรับจ้าง รถบัสโดยสาร แลรถยนตเช่า (Taxis , Buses and Auto Rentals)

นักเดินทางท่องเที่ยวที่เดินทางโดยรถไฟ โดยทางเรือและโดยทางเครื่องบินตามปกติแล้วสามารถที่เดินทางถึงจุดหมายปลายทางสุดท้าย ได้ก็แต่โดยรถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวในรูปของรถรับจ้าง (Taxi) ยานพาหนะที่ราคาถูกที่สุด ซึ่งจัดไว้คอยบริการแก่นักเดินทางมากับเครื่องบินก็คือรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของสนามบิน (Limousines) หรือรถบัส (Buses) โดยสารรับจ้างผู้โดยสารประจำสนามบินที่จะรับส่งผู้โดยสารจากสนามบินไปยังใจกลางเมือง หรือสถานที่พักต่างๆ ในสนามบินนานาชาติทั่วโลกจะมีบริการของเอกชนซึ่งได้รับสัมปทานการให้บริการขนส่งผู้โดยสารจากสนามบินไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ในรูปของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรับจ้าง (Limousines) หรือรถบัสโดยสารไว้บริการแก่นักเดินทาง แต่ในบางประเทศ เช่น ยุโรปรถโดยสารรับส่งดังกล่าวจะเป็นของสายการบินแห่งชาติซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสในการสนับสนุนงบประมาณ ดังนั้นจึงไม่เปิดให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำการแข่งขันได้

รถโดยสารประจำเส้นทาง (Sechduled Buses)

ปัจจุบันรถโดยสารประจำทางหรือรถบัสโดยสาร (Buses) เป็นพาหนะในการเดินทางระยะไกลบนภาคพื้นดิน และเป็นพาหนะเดินทางที่มีราคาถูกที่สุด เมื่อเรียบเทียบกับรถยนต์ รถไฟ ในระยะไกลที่เท่ากันสำหรับการเดินทาง ทั้งนี้เพราะคำว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่รถโดยสารประจำทางใช้ในการขนส่งผู้โดยสารนั้นต่ำกว่ายานพาหนะชนิดอื่นๆ และสถิติการจราจรก็พบว่ารถโดยสารประจำทางใช้ในการขนส่งผู้โดยสารมีความปลอดภัยสูงที่สุดในบรรดายานพาหนะที่วิ่งอยู่บนท้องถนนสายต่างๆ

เพื่อที่จะดึงดูดรถโดยสารให้นิยมเดินทางโดยรถโดยสารประจำเส้นทางมากยิ่งขึ้น บริษัทเดินรถโดยสารประจำทางหลายบริษัทได้พัฒนาระบบความสะดวกสบายในการบริการผู้โดยสารในหลายๆรูปแบบ เช่น ในแง่ของเทคโนโลยีก็ได้มีการสร้างเครื่องยนต์ที่มีพลังขับเคลื่อนสูงขึ้นมีเสียงเครื่องยนต์เงียบกว่าเดิม มีระบบที่นั่งโดยสารปรับเอนได้เหมือนที่นั่งเครื่องบินโดยสาร หน้าต่างกว้างขึ้น มีระบบความเย็นทั้งคันรถ มีระบบห้องสุขาที่สะอาดและสะดวก มีระบบทีวีและวีดีโอวิทยุเทป และมีพนักงานบนรถตลอดเส้นทางการเดินทาง

บริษัทรถโดยสารประจำเส้นทางหลายบริษัทได้เติบโตขึ้นเป็นเครือบริษัทขนาดใหญ่โดยขยายสายธุรกิจออกไปสู่ธุรกิจการท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น บริษัทเดินรถโดยสารประจำเส้นทาง เกรฮาวด์ (U.S. Grey hound Company) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งแต่ ค.ศ. 1928 ขณะนี้เป็นเจ้าของภัตตาคารจำนวนทั่วสหรัฐ สถาบันการบริหารอาหารประเภทต่างๆ บริษัทรถเช่าและแม้กระทั่งการทำธุรกิจ การให้เช่าเครื่องบิน การส่งเงินและบริษัทประกันภัย บริษัทเดินรถโดยสารประจำเส้นทางขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจต่อเนื่องในทำนองเดียวกับอีกบริษัทหนึ่งในสหรัฐอเมริกาคือ บริษัท เทรลเวย์ (Trailways) ที่มีเครือข่ายธุรกิจขนส่งทางรถยนต์ขนาดใหญ่

นอกเหนือจากบริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวแล้วยังมีบริษัทครอบครัวขนาดเล็กอีกมากมายที่ทำธุรกิจเดินรถโดยสารประจำเส้นทาง อุตสาหกรรมเดินรถประจำเส้นทางในสหรัฐอเมริกาได้ให้บริการที่มากกว่าสะดวกและง่ายดายต่อการจอรับบริการแก่ประชาชนทุกระดับ และทั่วถึงไปทั่วชุมชนต่างๆที่ไกลออกไปมากกว่าพาหนะชนิดอื่นใดที่มีอยู่ในประเทศดังกล่าว

ปัจจุบันบริษัทธุรกิจรถโดยสารประจำเส้นทางได้ขยายเศรษฐกิจออกไปสู่ทวีปประเทสต่างๆทั่วโลกอาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารประจำเส้นทางเป็นพาหนะของมวลชน ในโลกยุคปัจจุบันและอนาคตโดยแท้
บริษัทรถโดยสารท่องเที่ยว (Bus Tour Companies)
นอกเหนือจากธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารประจำเส้นทางแล้วก็ยังมีธุรกิจการท่องเที่ยวที่ดำเนินธุรกิจการขนส่งเป็นของตนเอง มีรถโดยสารขนาดใหญ่เช่นเดียวกับรถยนต์โดยสารประจำเส้นทาง หรืออาจพัฒนาในความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารดีกว่ารถยนต์โดยสารประจำเส้นทาง

บริษัทรถยนต์โดยสารเหล่านี้เสนอบริการท่องเที่ยวในราคาของกลุ่มทัวร์เบ็ดเสร็จ ซึ่งราคาจะรวมทั้งพาหนะเดินทางทุกชนิด โรงแรม ที่พักของการขนส่งกระเป๋าเดินทางและอาหารเกือบทุกมื้อ ตลอดโปรแกรมการเดินทางรวมทั้งการดูแลเอาใจใส่นักท่องเที่ยวทุกคนในกลุ่มทัวร์ที่เกี่ยวกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยว

บริษัทรถท่องเที่ยวเหล่านี้มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงมากในส่วนแบ่งการตลาดของอุตสาหกรรมโดยสารในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และในเอเชียนักท่องเที่ยวในทวีปอมริกาเหนือในปี ค.ศ.2982 และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ใช้รายจ่ายรายได้ไม่เฉพาะแต่บริษัทรถโดยสารท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสถานที่พักแรมบริการอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตลอดเส้นทางการท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกาได้มีการเปลี่ยนแปลงกฏหมายใหม่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจในธุรกิจโดยสารท่องเที่ยวขสู่ธุรกิจดังกล่าวได้ง่ายมากขึ้น และมีบริษัทธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มเข้าสู่ขนาดเล็กจำนวนมากเริ่มเข้าสู่ตลาดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ในทวีปเอเชียโดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นประเทศไทยแม้จะได้มีการพัฒนารถโดยสารท่องเที่ยวขึ้นมาเป็นปึกแผ่นและได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากผู้โดยสารซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากทั้งภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศก็ตาม แต่กฎระเบียบต่างๆ ที่ควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าวนี้ยังไม่เกิดโอกาสให้นักธุรกิจและผู้ประกอบการรายย่อยได้มีโอกาส “เกิด” ในธุรกิจดังกล่าวได้ง่ายๆ

บริษัทรถเช่า (Car Rentals)
ในทวีปอเมริกาเหนือแห่งเดียวมีสถานที่บริการรถเช่ากระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ ประมาณ 30,000 แห่งเกือบทั้งหมดของบริษัทรถเช่าเหล่านี้เป็นสาขาธุรกิจรถเช่าที่มีชื่อเสียง เช่น “Hertz” “Nation” “Avis” “Budget” เป็นต้น ธุรกิจรถเช่าดังกล่าวนี้มีลักษณะการดำเนินการแบบสัมปทาน (Franchied) เป็นพื้นฐานหลักและมีแนวโน้มจะยึดครองพื้นที่สถานที่บริเวณสนามบินต่างๆ ทั่วโลก

บริษัทธุรกิจเช่าขนาดใหญ่ที่สามารถขยายธุรกิจได้อย่างกว้างขวางนั้นขึ้นอยู่กับการโฆษณาทั้งในรับชาติและระดับนานาชาติ แต่อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่เป็นสิ่งที่ยากลำบากหรือต้องใช้ทุนรอนมหาศาลสำหรับผู้สนใจที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจเช่าดังกล่าวนี้ เพราะสิ่งทีต้องการคือสำนักงานและที่ จอดรถซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถเช่าได้ รถยนต์เช่าก็เช่นเดียวกันสามารถเช่าดำเนินงานได้ หรือไม่ อาจต้องลงทุนจำนวนมากเพื่อหรือลดลง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย ข้อคำนึงประการหนึ่งของผู้สนใจประกอบกิจการรถเช่านี้ ก็คือธุรกิจประเภทนี้มักมีการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง แต่เป็นธุรกิจ ที่ให้กำไรค่อนข้างมหาศาลสมควรแก่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

จุดโฆษณาที่สำคัญของธุรกิจรถเช่าส่วนใหญ่จะมุ่งที่กลุ่มนักธุรกิจที่เดินทางท่องเที่ยวหรือเพื่อธุกิจเป้าหมายหลัก โดยเสนอรายการรถเช่าในรูป “บินแล้วขับ” (Flydirve) หรือ “รถไฟ/รถยนต์” (Train/Auto) ซึ่งดูจะเหมือนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้ดี

การท่องเที่ยวทางรถไฟ

รถไฟคันแรกที่นำมาใช้เป็นรถลากด้วยม้าบนรางเหล็กที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างหยาบๆ เพื่อใช้ในกิจการเหมืองแร่ ส่วนรถไฟจริงๆ นั้นได้ถูกนำมาวิ่งเป็นคันแรกในประเทศอังกฤษราวปี ค.ศ. 1825 ในระยะแรกๆ รถไฟถูกมองว่าเป็นยานพาหนะสำหรับขนส่งสินค้า มากกว่าจะใช้ขนส่งผู้โดยสาร จนกระทั่งราวปี ค.ศ. 1830 รถไฟส่งผู้โดยสารคันแรกในประวัติศาสตร์ก็ได้เริ่มเปิดกิจการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองสต๊อกตัน (Stockton) กับเมืองดาร์ลิงตัน (Darlington) ในอังกฤษภาคเหนือ

ความเติบโตของการท่องเที่ยวโดยรถไฟ (Growth of Rail Travel)

ภายหลังจากปี ค.ศ. 1830 รถไฟได้เติบโตก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก ดังเช่น ในอังกฤษเส้นทางรถไฟมีความยาวเลยความยาวของลำคลองในอังกฤษนั้นเกาะภายในเวลาไม่กี่ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1835 รถด่วนสายแรกได้เปิดทำการวิ่งระหว่างกรุงลอนดอน (London) กับเมืองท่าบริสตอล (Bristol) มีความยาวประมาณ 120 ไมล์ “รถด่วนมหัศจรรย์ของพระเจ้า” รถด่วนสายนี้ถูกใช้เดินทางโดยผู้อพยพไปลงเรือที่เมืองท่าบริสตอล เพื่อเดินทางต่อไปยังอาณานิคมต่างๆ และอเมริกา

ในปี ค.ศ. 1841 โทมัส คุ๊ก (Thomas Cook) ได้แนะนำการท่องเที่ยวทางรถไฟขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นผู้ก่อตั้งรถไฟสายซึ่งเดินทางระหว่างลูห์โบโรห์ (Loughborough) ไปยังไลเซสเตอร์ (Leicestor) ในอังกฤษ และต่อมาภายในเวลาที่ไม่ยาวนักรถไฟได้นำผู้โดยสารไปเชื่อมกับศูนย์กลางของผู้คนจำนวนมากในบริเวณบ่อน้ำแร่ที่พักตากอากาศชายทะเลในยุโรปและในทวีปอเมริกาเหนือ จากจุดนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดรถม้าโดยสาร (Stagecoach) และการขนส่งผู้โดยสารตามแม่น้ำลำคลอง

เมืองบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐอเมริกาได้เชื่อมต่อกับเมืองต่างๆ รอบทะเลสาบทั้ง 5 (The Great Lake) โดยเส้นทางรถไฟในปี ค.ศ. 1850 และเชื่อมกับเมืองชิคาโกในปี ค.ศ. 1853 เส้นทางเดินรถไฟข้ามทวีปอเมริกาสายแรกสร้างเสร็จในราวทศวรรษของปี ค.ศ. 1860 โดยบริษัท (Unionpacific Railroad) เพื่อเชื่อมฝั่งตะวันตกของประเทศในมลรัฐเนบราสก้า (Nebraska) ในขณะที่บริษัท Central pacific Railroad เดินรถไฟโดยสารแคริฟอเนียไปยังฝั่งตะวันออกของประเทศในเวลาเดียวกัน โดยที่ทั้งสองบริษัทรถไฟข้ามทวีปมาพบกันที่จุดโปรมอนโตรี (Promontory Point) ในมลรัฐยูทาห์ (Utah) จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการขนส่งผู้โดยสารข้ามทวีปโดยยานพาหนะรถไฟเป็นครั้งแรกในประเทศนี้

การเดินทางโดยรถไฟในยุคปัจจุบัน (Rail Travel Today)

ภายหลังปี ค.ศ. 1945 อดีตอันรุ่งโรจน์ของรถไฟก็ค่อยๆ ผ่านพ้นไปบริษัทเดินรถไฟในสหรัฐอเมริกาเป็นบริษัทเอกชนไม่ได้เป็นกิจการของรัฐบาลดังเช่นในยุโรป บริษัทเดินรถไฟเหล่านี้ได้หันไปทำความสนใจในการขนส่งสินค้ามากกว่าขนส่งผู้โดยสารเพื่อความอยู่รอดของกิจการ ปัจจุบันนี้ยังคงมีบริษัทเดินรถไฟรับส่งผู้โดยสารที่กิจการยังมั่นคงอยู่บางบริษัท เช่น Northeast Corridor แห่งสหรัฐอเมริกา และเส้นทางเดินรถไฟสายโตรอนโตถึงมอลทรีล ( Toronto to Montrea) ในแคนาดา เป็นต้น

ปัญหาหลักที่สำคัญประการหนึ่งของรถไฟขนส่งผู้โดยสารก็คือ เวลารถวิ่งบนรางเหล็กผู้โดยสารจะรู้สึกแข็งกระด้างมาก ทั้งนี้เป็นเพราะการออกแบบรถไฟที่แตกต่างกันระหว่างรถโดยสารกับรถขนสินค้ารถโดยสารได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้วิ่งในอัตราความเร็วสูงกว่ารถสินค้า

การจำหน่ายตั๋ว Eurailpass

การจำหน่ายตั๋วรถไฟเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวราคาถูกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุโรปก็คือระบบ “Eurailpass” โดยนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจะต้องซื้อตั๋วรถไฟระบบ “Eurailpass” ในสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดาเสียก่อนที่จะเดินทางเข้าไปในยุโรป เพราะ Eurailpass จะไม่จำหน่ายในแก่นักท่องเที่ยวเมื่อเดินทางเจ้าไปในยุโรปแล้ว ตั๋วรถไฟสามารถใช้เป็นรายบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยกันได้ ตั๋ว Eurailpass จะให้บริการแก่นักท่องเที่ยวดังต่อไปนี้ การเดินทางโดยรถไฟชิ้นหนึ่งไม่จำกัดเที่ยว ไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่มค่าธรรมเนียมใดๆ อีก สามารถใช้ตั๋วเดินทางไปในประเทศต่างๆ ได้ 16 ประเทศในยุโรป เช่น ออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก อิตาลี ลักเซมเบิรก์ เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในเครือข่าย uro City Network บวกกับอีก 4 ประเทศ คือ ฟินแลนด์ กรีก โปตุเกส และสาธาณรัฐไอร์แลนด์

นอกจากนี้ระบบรถไฟ Eurailpass ยังเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟเข้ากับระบบการขนส่งทางทะเล เช่น เรือโดยสาร เรือเฟอร์รี่ และรถบัสโดยสารต่างๆ ที่ผู้ถือตั๋วโดยสาร Eurailpass อาจไม่ต้องชำระเงินเพิ่มหรือได้รับส่วนลดพิเศษในการใช้พาหนะต่างๆ ในเครือข่ายดังกล่าว นับเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดียิ่งและเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษด้วย นอกจากนี้รถไฟในยุโรปมีความตรงต่อเวลาทั้งเวลาออกเดินทางและเวลาที่ถึงสถานีปลายทางที่ไม่คลาดเคลื่อนไปจากตารางการเดินรถทุกๆ สถานีรถไฟที่จอดจะมีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวครบถ้วนสมบูรณ์ทุกสถานี เช่น มีหน่วยบริการสำรองห้องพักโรงแรมทั่วยุโรปมีที่รับแลกเปลี่ยนเงินตรา มีตารางการเดินรถตลอดเส้นทางที่ชัดเจน ระบุจุดเชื่อมกับพาหนะเดินทางอื่นๆ ที่สะดวกสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทางเรือ ทางรถยนต์ หรือแม่น้ำลำคลอง ซึ่งจะเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟหรืออยู่ใกล้ๆ กันเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในการเปลี่ยนพาหนะเดินทาง อนึ่งภัตตาคารของทุกสถานีรถไฟในยุโรปก็มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพและบริการที่ดีเยี่ยม โดยตลอดมาจนเป็นที่ติดใจของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น